"ขุนคลัง" ส่งสัญญาณเตือนปี"58 เศรษฐกิจฝืดเคือง ต้องอดทนทำงานหนักต่อเนื่อง ชี้ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจโลกยังรุมเร้า ยอมรับการดำเนินมาตรการมีขีดจำกัด ลงทุนขนาดใหญ่รอ "ออกดอกออกผล" ปีหน้า ลุยทำงบฯรายจ่ายปี"59 ขาดดุลเพิ่มขึ้น หนุนการลงทุนภาครัฐ

นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2558 จะขยายตัวดีขึ้นไม่แย่กว่าปี 2557 แน่นอน เพียงแต่อาจไม่ฟู่ฟ่าขึ้นมา เพราะปีที่แล้วเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะที่ฝืดเคือง และส่งผลมาถึงปีนี้ ดังนั้นจึงอยู่ในภาวะที่ต้องอดทน และทำงานหนักอย่างต่อเนื่องต่อไป เนื่องจากผลกระทบจากความซึมเซาของเศรษฐกิจโลกยังมีอยู่มาก เพราะทั่วโลกยังแย่ ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าราคาน้ำมันจะอยู่ระดับต่ำไปอีกอย่างน้อย ๆ 6 เดือนถึง 1 ปี
"เรากำลังพยายามทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นไข้ ซึ่งเวลาเพิ่งฟื้นไข้ เราก็ยังเดินสะเปะสะปะอยู่ ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง ก็พยายามใส่ยากันเข้าไป บางคนก็บอกว่าดื้อยา แต่ต้องบอกว่าเวลาเศรษฐกิจแย่ ไม่ใช่นึกจะใส่อะไรเข้าไปก็ได้ตามใจชอบ หรือทำอะไรแล้วจะสำเร็จ แบบนั้นไม่ได้ ต้องทำให้ถูกเรื่อง"
การที่เศรษฐกิจไทยปีที่ผ่านมาขยายตัวต่ำ จะไปเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมาเลเซียที่เศรษฐกิจเติบโตราว 5% เวียดนามที่โตกว่า 6% คงไม่ได้ เพราะไทยประสบปัญหาการเมือง และผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก จนทำให้เศรษฐกิจที่เคยคาดว่าจะขยายตัวได้เกือบ 2% มาถึงขณะนี้น่าจะโตได้ไม่เกิน 1%
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยก็มีปัจจัยบวกตรงที่คนไทยเลิกทะเลาะกัน ทำให้มีเวลาทำมาหากิน ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับเพื่อนบ้านอย่างในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ส่งผลให้ค้าชายแดนขยายตัวได้ดีขึ้นมาก เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านกำลังขยายตัว
"เรามีเพื่อนบ้านกำลังกิน กำลังโต จะสร้างโน่นสร้างนี่เขาต้องใช้เงิน ต้องซื้อของจากเราไปลงทุนมากขึ้น เราเองก็มีคนเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้พอสมควร เพราะเราเป็นเซ็นเตอร์
ขณะเดียวกันเราก็พยายามสร้างตัวเองให้เป็นเซ็นเตอร์มากขึ้น เพื่อหารายได้เพิ่มขึ้น อย่างการที่เราจะขอเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้งให้เป็นศูนย์กลางการเงินให้เพื่อนบ้านมาระดมทุน"
ยอมรับมาตรการกระตุ้นมีขีดจำกัด
นายสมหมายกล่าวว่าสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นรัฐบาลทำได้ค่อนข้างจำกัดและต้องมีเหตุมีผล มีงบประมาณสนับสนุน ไม่ใช่คิดจะทำอะไรก็ทำได้ ต้องคำนึงด้วยว่า การกระตุ้นด้วยงบประมาณภาครัฐนั้นทำได้ไม่มาก เพราะสัดส่วนภาครัฐในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) มีไม่มากแค่กว่า 20% เท่านั้น เทียบกับภาคส่งออกที่มีสัดส่วนถึง 73-74%
"แค่ส่งออกลดลงไปอย่างเดียว แรงกระแทกก็เยอะ ตอนนี้ต้องเลิกพูดว่าจะกระตุ้นชั่วคราว เพราะทำไปแล้ว ต่อไปนี้ต้องพูดเรื่องระยะยาว อย่าไปคิดว่าจะไปกระตุ้นอะไรแค่ 3 เดือน"
นายสมหมายกล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามสร้างบรรยากาศให้เกิดความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ ได้แก่ 1)มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ ที่ขณะนี้เงินกำลังทยอยออกจากท่อ แต่ปัจจุบันยังออกไม่ถึง 50% ซึ่งก็ต้องผลักดันต่อไป คาดว่าประมาณต้นไตรมาส 2 ก็น่าจะออกได้หมด
2)มาตรการระยะกลาง เช่น มาตรการจูงใจให้ต่างชาติมาตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้า, มาตรการกองทุนร่วมทุน (เวนเจอร์แคปิตอล), นาโนไฟแนนซ์ เป็นต้น และ 3)มาตรการระยะยาว คือ การเร่งรัดลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ประเทศไทยว่างเว้นมานาน ซึ่งปัจจุบันเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะลงทุน เพราะต้นทุนน้ำมันต่ำ ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยก็มีความมั่นคงสูง อยู่อันดับ 14 ของโลก โดยหลายประเทศแสดงความสนใจเข้ามาลงทุน ไม่ว่าจะจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และยุโรป
ลงทุนโครงการใหญ่เกิดผลปีหน้า
นายสมหมายกล่าวว่า โครงการลงทุนขนาดใหญ่จะไปออกผลประมาณปี 2559 หลังจากที่เริ่มดำเนินการในปีนี้ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสีต่าง ๆ ระบบราง และถนนเชื่อมภูมิภาค รวมถึงโครงการที่เกี่ยวโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทั้งระบบสาธารณูปโภค น้ำ ไฟฟ้า ถนน และสนามบิน อย่างไรก็ดียอมรับว่า โครงการลงทุนขนาดใหญ่ไม่ได้เริ่มได้ง่าย ๆ เพราะต้องดูให้มีความพร้อม
"กระตุ้นเป็นเรื่องระยะสั้น ส่วนระยะยาวเป็นเรื่องการพัฒนา เพื่อเพิ่มอัตราขยายตัว อย่างที่เรากำลังทำ เพราะมันว่างเว้นมานาน แต่ก็ไม่ใช่ว่ารัฐบาลนี้ปุบปับเข้ามาแล้วจะทำได้ทันที เพราะเข้ามาแค่ 4 เดือน"
สำหรับการลงทุนระบบน้ำ ได้ยกเลิกเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทเดิมไป โดยรัฐบาลนี้จะเริ่มทำใหม่ และทำอย่างถูกต้อง ศึกษา วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมใหม่อย่างถูกต้อง ซึ่งกระทรวงการคลังก็จัดหาเงินกู้ให้ใหม่ระยะข้างหน้าจะต้องดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ เพื่อรองรับความผันผวน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ ธปท.ดูแลอยู่แล้ว ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็เห็นชอบกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2.5% +/- 1.5% ซึ่งจะทำให้ ธปท. และกระทรวงการคลังทราบว่า ตอนไหนจะต้องทำอะไร
ส่วนการดำเนินนโยบายการเงินนั้นเชื่อว่า ผู้ว่าการ ธปท.และทีมงานที่เก่ง จะทราบดีว่าสถานการณ์แบบไหนต้องทำอะไร เช่น หากจะลดดอกเบี้ยช่วงนี้ก็ไม่ช่วยอะไร
"ตอนนี้ใส่เข้าไปก็ไม่ได้ช่วย ดูจากเทรนด์การปล่อยกู้ลดลง แต่เงินฝากไม่ได้ลด บ่งบอกว่าคนไม่กู้ เพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ขณะเดียวกันแบงก์ก็ไม่อยากให้กู้แบบง่าย ๆ เพราะต้องระวังหนี้เสีย ซึ่งแบงก์ชาติก็เห็นอยู่ เราก็เห็นอยู่"
งบฯปี 59 ขาดดุลเพิ่มหนุนลงทุน
ด้านความคืบหน้าในการจัดทำงบประมาณปี"59 นายสมหมายกล่าวว่า เนื่องจากที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่วางกรอบการจัดทำงบประมาณแบบอนุรักษนิยม ตนจึงให้เจ้าหน้าที่คิดนอกกรอบ นั่นคือการจัดเก็บรายได้ในปี"59 ที่เพิ่มขึ้น อย่างเดียวไม่พอ ควรจะจัดทำงบฯรายจ่ายแบบขาดดุลเพิ่มขึ้นด้วย เพราะฐานะการคลังของไทยยังแข็งอยู่ เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ต้องการสร้างงาน สร้างรายได้ ทำให้จะต้องใช้งบฯรายจ่ายมากพอสมควร โดยเฉพาะภาคสังคม การศึกษา และสาธารณสุข ที่ต้องการจัดสรรงบประมาณให้มากขึ้น
"รายได้ในปี 2559 ผมคิดว่าเบ่งได้ เพราะปฏิรูปภาษีจะมีผลหมดแล้ว ยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะเอฟเฟ็กทีฟหลังจากนั้นอีก"
ทั้งนี้ตามแผนการปฏิรูปภาษีของกระทรวงการคลังจะไม่ใช่แค่การลดหรือเพิ่มอัตราภาษีแต่จะมีการอุดรูรั่วต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บรายได้ด้วย และทั้งหมดต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. 2558 ซึ่งผลจะไปเกิดในปีงบประมาณ 2559 โดยยอมรับว่าหลายมาตรการที่ดำเนินการไป เป็นการลดภาษี แต่ก็จะได้รายได้กลับมาในภายหลัง
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การประชุมจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2559 ได้ข้อสรุปกรอบประมาณการรายได้รัฐบาลแล้ว โดยอยู่ที่ 2.33 ล้านล้านบาท ซึ่งอยู่บนสมมติฐานว่า เศรษฐกิจปี 2559 ขยายตัว 4% อัตราเงินเฟ้อ 1.6% ส่วนการขาดดุลงบประมาณนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องการให้ขาดดุลมากเกินไป จากตัวเลขที่มีการเสนอมาขาดดุลถึง 4.2 แสนล้านบาท เนื่องจากมีงบประมาณรายจ่ายอยู่ที่ 2.75 ล้านล้านบาท
โดยในวันที่ 13 ม.ค.นี้ จะมีการประชุมร่วม 4 หน่วยงานเศรษฐกิจอีกครั้ง ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปกรอบวงเงินเพื่อเสนอ ครม.อนุมัติต่อไป ทั้งนี้ ปีงบประมาณ 2558 ประมาณการรายได้สุทธิ 2.325 ล้านล้านบาท รายจ่าย 2.575 ล้านล้านบาท ขาดดุล 2.5 แสนล้านบาท
ชี้ปัจจัยเสี่ยงราคาเกษตรตกต่ำ
ขณะที่นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะขยับมาส่งผลในไตรมาสแรกปี 2558 จากเดิมที่หวังจะส่งผลต่อไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว ดังนั้นก็จะมีผลดีต่อการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจในปี 2558 เช่นเดียวกับงบฯลงทุนที่ให้เร่งทำสัญญาตั้งแต่ไตรมาสแรก ก็จะเริ่มเบิกจ่ายในไตรมาสแรกนี้เช่นกัน
"สิ่งที่รัฐพยายามทำในเรื่องการลงทุน จะเห็นชัดเจนในปีนี้แน่นอน" นายกฤษฎากล่าว
อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยปีนี้ต้องระวังภัยธรรมชาติ โรคระบาด ราคาสินค้าเกษตร และการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากการเปิดเออีซี รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุน ซึ่งต้องจับตาใกล้ชิด
บิ๊ก คสช.-สมคิด ร่วมวงถก
ด้านแหล่งข่าวจาก คสช.เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ของนักธุรกิจ ที่อาคารรับรองเกษะโกมล หรือบ้านเกษะโกมลเดิม ซึ่งปัจจุบันเป็นอาคารเลี้ยงรับรองนายทหารชั้นผู้ใหญ่ แขกต่างประเทศและบุคคลสำคัญที่เป็นแขกของกองทัพบก เหล่าทัพ กองบัญชาการกองทัพไทย และส่วนราชการขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม ในวันที่ 12 ม.ค. เวลา 14.00 น. เป็นการเข้าพบในนาม คสช. โดยฝ่าย คสช.นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช.แล้ว จะมี พล.อ.ประจิน จั่นตอง หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช.และ รมว.คมนาคม พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. และ รมว.พาณิชย์ และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา คสช.ร่วมพบปะหารือด้วย โดย พล.อ.ฉัตรชัย เป็นผู้ทำหนังสือเชิญในนามรองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช.
โดยตัวแทนนักธุรกิจที่เข้าพบ ประกอบด้วย ตัวแทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย เป็นต้น องค์กรละ 1 คน ร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่อีกส่วนหนึ่ง
นายวัลลภ วิตากร รองประธาน ส.อ.ท.เปิดเผยว่า การเข้าพบนายกฯ โดยกระทรวงพาณิชย์ ทำหน้าที่ฟอร์มทีมร่วมกับ ส.อ.ท. สภาหอการค้า กับอีกหลายองค์กร เพื่อหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 2 ประเด็นหลัก 1.สอบถามความคืบหน้าประเด็นที่เคยเสนอรัฐบาลดำเนินการ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การใช้จ่ายภายในประเทศ พลังงาน ส่งเสริมอุตสาหกรรม เขตเศรษฐกิจพิเศษ การสนับสนุนเอสเอ็มอี 2.เสนอควมคิดเห็นด้านเศรษฐกิจ ข้อกังวล และสิ่งที่ต้องการให้รัฐเดินหน้า และเสนอนายกฯ ทราบยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) จัดทำขึ้น