เศรษฐกิจไทยยังไม่ใช่เวลาขึ้น “VAT” : ครองขวัญ รอดหมวน
เหมือนจะยังเป็นประเด็นให้พูดถึงอยู่ตลอดเวลา สำหรับแนวคิดของ “สมหมาย ภาษี” รมว.การคลัง ที่เคยออกมาเปรยๆ ว่าจะมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 7% เพิ่มขึ้นภายในเพดาน 10% ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2558 โดยต้องดูปัจจัยพื้นฐานประกอบด้วยว่า หากเศรษฐกิจไทยในปีนี้สามารถเติบโตได้ถึง 4% ก็อาจเป็นแรงส่งให้รัฐบาลสามารถดำเนินการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวได้ในระดับที่เหมาะสม

ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นที่สนใจของภาคเอกชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเดินหน้า “คัดค้าน” แนวคิดดังกล่าวยังขึงขัง “สุพันธุ์ มงคลสุธี” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ออกมาให้ความเห็นว่า การจะปรับขึ้นภาษีแวตนั้น ต้องมาจากฐานเศรษฐกิจของประเทศที่แข็งแรง ควรมีจีดีพีเติบโตที่ 4% เป็นต้นไป แต่หากจีดีพีของประเทศยังอยู่ในระดับที่ 1-2% เหมือนปัจจุบันก็อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะดำเนินการเรื่องดังกล่าว
ขณะที่ “อิสระ ว่องกุศลกิจ” ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า การที่รัฐบาลจะพิจารณาขึ้นภาษีแวตอาจกระทบประชาชน และจะส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนให้ชะลอตัวลง จึงเห็นว่ายังไม่ควรที่จะปรับภาษีดังกล่าวขึ้นในตอนนี้ ด้านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 องค์กร (กกร.) ก็ออกมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องนี้อย่างจริงจังว่าหากมีการปรับขึ้นภาษีแวต จะส่งผลกระทบและฉุดกำลังซื้อของประชาชนได้
แม้ว่าประเด็นดังกล่าวอาจเป็นเพียง “การโยนหินถามทาง” จากรัฐบาลเท่านั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องที่สร้างความกังวลให้กับประชาชนและภาคเอกชนเป็น อย่างมาก เนื่องจากเป็นการเพิ่มภาระต้นทุนให้สูงขึ้น และมีคำถามตามมาอีกว่า เศรษฐกิจประเทศไทยในขณะนี้ พร้อมแล้วหรือยังที่จะมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
อีกเรื่องที่น่าสนใจและน่าขบคิดนั่นคือ รายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเกิดจากการปรับขึ้นภาษีแวต (หากมีการปรับขึ้นจริง) รัฐบาลจะนำไปใช้อย่างไรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ส่วนนี้อาจมองย้อนไปที่การใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการว่าที่ผ่านมามีการ เบิกจ่ายเงินในโครงการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด การลงทุนในโครงการต่างๆ ได้ส่งผลกระทบในแง่ดีกับภาคประชาชนมากน้อยแค่ไหน และในส่วนรัฐบาลเองที่ผ่านมามีการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงในระดับใด
เชื่อว่าหลายฝ่ายยังมองเห็นว่าประเทศไทยอาจจะยังไม่ถึงเวลาที่จะปรับขึ้น ภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว ด้วยเพราะเศรษฐกิจประเทศที่ยังไม่เอื้ออำนวย เช่นเดียวกับ “กรณ์ จาติกวณิช” อดีต รมว.การคลัง ที่ออกมาตั้งคำถามว่า “กระทรวงการคลังจำเป็นต้องเพิ่มรายได้แล้วหรือ อันนี้ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่ใจ นอกจากว่าจะเอาเงินมาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะเรื่องสวัสดิการเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมชราภาพแบบเต็มรูปแบบใน อีก 15 ปีข้างหน้า หรือบางทีหากเปลี่ยนจากการเพิ่มภาษีที่เป็นการผลักภาระให้ประชาชน เป็นการยกเลิกโครงการประชานิยมที่เป็นสาเหตุให้ต้องนำงบประมาณออกมาใช้แทนจะ ดีกว่า”
หากพิจารณากันแบบง่ายๆ แล้วอาจพบว่า การปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเก็บจากการบริโภคและการใช้จ่ายของประชาชนนั้น คล้ายๆ กับการผลักภาระให้ประชาชน จึงอาจไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องนัก แต่หากมองย้อนกลับมาว่าที่ผ่านมา ที่เคยมีการปรับลดภาษีต่างๆ โดยเฉพาะภาษีเงินได้นิติบุคคล จาก 30% เหลือ 23% และเหลือ 20% ในปัจจุบันนั้น มันสัมฤทธิผลในแง่เป้าหมายที่ตั้งไว้เพียงใด
เพราะที่ผ่านมารัฐบาลที่ดำเนินการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น ยืนยันมาตลอดว่า การปรับลดภาษีดังกล่าวเพื่อเป็นการดึงดูดให้ต่างชาติหันมาลงทุนในไทยเพิ่ม มากขึ้น เนื่องจากในอดีตไทยยังมีอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลต่อการแข่งขันของประเทศ แต่ดูเหมือนว่าการดำเนินการในเรื่องนี้จะไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะไม่เพียงแต่ต่างชาติจะไม่ได้ให้ความสนใจอย่างที่วาดฝันเอาไว้แล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้จากภาษีในส่วนนั้นไปด้วย เปรียบเทียบจากข้อมูลการจัดเก็บรายได้จากภาษีนิติบุคคลในปีงบประมาณ 2557 ที่ทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายสูงถึง 7.48 หมื่นล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าหมาย 11.6% กลับกลายเป็นตัวเลขที่น่ากลัว
มองในมุมกลับ หากรัฐบาลจะชะลอการพิจารณาขึ้นภาษีแวต และกลับมาทบทวนภาษีเก่าๆ ที่อาจจะยังไม่เหมาะสม หรืออาจจะมีการพิจารณาจัดเก็บภาษีตัวใหม่ๆ ที่ถึงเวลาจะต้องเข้าสู่ระบบอย่างเต็มรูปแบบ อาจจะเหมาะสมและน่าดำเนินการกว่า อย่าลืมว่าขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศไทยยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างแข็งแรงเพียงพอ ที่ประชาชนในประเทศจะสามารถแบกรับการจ่ายภาษีจากการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ ยิ่งในยามที่ข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ ยิ่งทำให้ภาระค่าครองชีพของแต่ละคนอยู่ในระดับสูงจนกลายเป็นอุปสรรคในการใช้ ชีวิตไปบ้างก็มี.