สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

การเมือง-เศรษฐกิจโลกพ่นพิษ
03/01/2015
ข่าวเศรษฐกิจ

ภาวะอุตสาหกรรมภาพรวมของปี 2557 ในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะโงหัวขึ้นบ้าง จากปัจจัยของภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวในช่วง 6 เดือนหลัง และการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพ แต่หากมองในเนื้อใน ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) ประเมินแล้ว อัตราการใช้กำลังการผลิตของปีนี้ยังอยู่ในระดับกว่า 60 % เท่านั้น ประกอบกับตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือเอ็มพีไอ ที่สะท้อนถึงการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ได้ติดลบถึง 4 % สูงกว่าปี 2556 ที่ติดลบที่ 3.26 % ส่งผลให้ประมาณการตัวเลขจีดีพีของภาคอุตสาหกรรมของปีนี้น่าจะติดลบถึง 1.5-2 % เมื่อเทียบกับปี 2556 เป็นบวกที่ 0.1 %

-การเมืองฉุดภาคการผลิต
    นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) สะท้อนให้เห็นว่าภาวะอุตสาหกรรมที่ประเมินตัวเลขออกมาดังกล่าว เป็นผลจากตัวเลขเอ็มพีไอที่ได้หดตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องทุกเดือน ที่มีปัจจัยมาจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศในช่วงก่อนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(สศช.) จะเข้ามาบริหารประเทศหรือก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ทำให้มีผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศปรับตัวที่ลดลงค่อนข้างมาก รวมถึงความล่าช้าของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะกลุ่มสหภาพยุโรป และญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว กระทบต่อภาคการส่งออกของไทย รวมถึงการจำหน่ายรถยนต์นั่งและการผลิตรถยนต์รวม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสร้างมูลค่าให้กับจีดีพีอุตสาหกรรมถึง 10% ได้ปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
    ทั้งนี้ หากแยกเป็นอุตสาหกรรมรายสาขาสำคัญ จะพบว่าภาคการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งปี 2557 ได้ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่คาดว่าจะมีการผลิตอยู่ที่ประมาณ 1.95 ล้านคัน ลดลง 20.4 % เมื่อเทียบกับปีก่อน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศประมาณ 8.5 แสนคัน หรือลดลง 35.9 % และการผลิตเพื่อส่งออกประมาณ 1.1 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 2.5 % เท่านั้น  
    ขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ปริมาณความต้องการใช้เหล็กของประเทศในปี 2557 ได้ปรับตัวลดลงประมาณ 4.5 % เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปริมาณการใช้เหล็กอยู่ที่ประมาณ 16.9 ล้านตัน แต่การผลิตในประเทศกลับไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่กลับลดลงถึง 10 % เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากปัญหาการเมืองมาตั้งแต่ช่วงต้นปี  ส่งผลให้ตลาดในประเทศหดตัวตามไปด้วย ขณะเดียวกันความต้องการใช้ทั้งภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง ที่ไม่กล้าตัดสินใจลงทุนในโครงการใหม่ๆ จึงส่งผลให้การผลิตเหล็กในประเทศปรับตัวลดลงอย่างมาก
    อีกทั้งมีการนำเข้าเหล็กจากประเทศจีนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลง โดยเฉพาะปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ ทำให้กำลังการผลิตส่วนเกินสูง รัฐบาลจีนสนับสนุนการส่งออกจากการยกเว้นภาษี จึงทำให้เหล็กทะลักเข้าไทยมากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก เช่น ตลาดยุโรป สหรัฐอเมริกา ยังชะลอตัวอยู่  ทำให้การส่งออกลดลง จากปัจจุบันต่างๆนี้ จึงทำให้อุตสาหกรรมเหล็กยังอยู่ในภาวะย่ำแย่
-อุตฯขยายตัวในอัตราต่ำ
    นอกจากนี้ ยังพบว่าอุตสาหกรรมอาหาร ในภาพรวมมีการขยายตัวอยู่ในระดับต่ำเพียง 1-3 % เท่านั้น เนื่องจากในหลายอุตสาหกรรม ยังมีปัญหายอดการผลิตลดลง ไม่ว่าจะเป็น ภาคการผลิตของกลุ่มประมงที่ติดถึง 10 % และการส่งออกที่ยังติดลงถึง 10% เช่นกัน โดยเฉพาะอาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ที่มีปัญหาจากโรคตายด่วนของกุ้ง ส่วนอุตสาหกรรมน้ำตาล ที่ได้รับผลกระทบจากกำลังการผลิตในประเทศที่ลดลง 5 %  และการส่งออกที่ลดลงประมาณ 10 % โดยเฉพาะหากประเมินภาพรวมของการส่งออกของอุตสาหกรรมอาหารจะพบว่าทั้งปีจะติดลบประมาณ 5%
    อีกทั้ง อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีการขยายตัวเฉพาะเสื้อผ้าสำเร็จรูปเท่านั้น โดยเฉพาะเสื้อกีฬาได้รับอานิสงส์จากคำสั่งซื้อในลีกกีฬาประเภทต่างๆ ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกขยายตัว แต่ในส่วนของการผลิตเส้นใยสิ่งทอ และผ้าผืน ยังอยู่ในภาวะหดตัว 4-5 %
    ขณะที่อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 1-2 % เท่านั้น ที่เป็นผลมาจากการขยายตัวในกลุ่มเครื่องปรับอากาศ ที่ส่งออกไปในตลาดหลักได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดในอาเซียน ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ก็ยังอยู่ในภาวะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน
    โดยสอดคล้องกับข้อมูลของสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (Econthai)  ที่ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการปี 2557 ที่รับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการทั่วภูมิภาค
-เอสเอ็มอียอดขายหาย
    นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย และประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมเศรษฐกิจและการลงทุน ได้ชี้ให้เห็นว่า ภาพรวมของการผลิตภาคอุตสาหกรรมของปี 2557 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมในต่างจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี ประสบปัญหายอดจำหน่ายที่ลดลง เนื่องจากการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัว  ทำให้การผลิตต้องหยุดผลิตเป็นช่วงๆ  อีกทั้งต้นทุนการผลิตในต่างจังหวัดมีต้นทุนค่าแรงเท่ากันทั้งประเทศ แต่มีต้นทุนการขนส่งที่สูงกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ในส่วนกลาง  รวมทั้งกำลังซื้อของเกษตรกรมีสัดส่วนประมาณ 30-40 % ของการบริโภคในต่างจังหวัด  เมื่อราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จะกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร จึงส่งผลต่อธุรกิจโดยรวมของต่างจังหวัด 
    ทั้งนี้ พบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่เป็นเอสเอ็มอี มียอดขายในปี 2557 ลดลงกว่าปี 2556 คิดเป็น34.5 %  ขณะที่ธุรกิจที่มีผลประกอบการดีขึ้นคิดเป็น 30.6 %  และใกล้เคียงกับปี 2556 คิดเป็น 29.4 % อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางเศรษฐกิจผู้ประกอบการซึ่งขายสินค้าในประเทศเป็นหลักได้รับผลกระทบจากยอดขายลดลง 38.9 % และผู้ประกอบการส่งออกได้รับผลกระทบยอดขายลดลงต่ำกว่าปี 2556 คิดเป็น 30.8 %
-ห่วงโซ่ยานยนต์กระทบหนักสุด    
    โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมยานยนต์หรืออยู่ในห่วงโซ่อุปทานชิ้นส่วนยานยนต์ลดลง 10-15%อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับสินค้าประมงแปรรูปเริ่มดีขึ้นบ้าง แต่การส่งออกยังติดลบมากกว่า 10-12% ปศุสัตว์แปรรูปตัวเลขยังคงติดลบ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่มีผลต่อการหดตัวของภาคอุตสาหกรรมไทยในปี 2557 จะมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศในช่วงครึ่งปีแรก และราคาพืชผลทางการเกษตรที่อยู่ในระดับตํ่า ส่งผลกระทบต่อภาวะการจับจ่ายโดยรวมของผู้บริโภคลดน้อยลง บวกกับความล่าช้าของการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะกลุ่มยูโรโซนและญี่ปุ่นมีผลให้การส่งออกสินค้าลดลงด้วย จากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ จึงสะท้อนมาที่ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจของสศอ.กว่า 2 พันราย ที่ออกมามีค่าตํ่ากว่า50 ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่า ผู้ประกอบการยังไม่มีความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ หรือกล่าวได้ว่าภาวะอุตสาหกรรมในปี 2557ยังอยู่ในภาวะยํ่าแย่

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 3,014  วันที่  1 - 3  มกราคม  พ.ศ. 2558

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.