ทุบหุ้น!.. โจทย์ใหม่รัฐบาล : ปฏิญญา สิงห์พิสาร
เมื่อต้นสัปดาห์ก่อนเกิดกระแสปั่นป่วนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อดัชนีหุ้นระหว่างวันของวันที่ 15 ธ.ค. ลดลงไปถึง 138.96 จุด ต่างลุ้นระทึกกันว่าจะเกิด Circuit Breaker หยุดการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดเป็นการชั่วคราวหรือไม่ แต่ในที่สุดก็สามารถดีดกลับขึ้นมาได้ นอกจากนี้ มูลค่าการซื้อขายยังเป็นการทำสถิติใหม่ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ตลท.ที่ 102,662.94 ล้านบาทด้วย

แน่นอนว่าสาเหตุของสถานการณ์ดังกล่าว หลายๆ คนมองว่ามาจากกระแสข่าวลือต่างๆ ที่ไม่อาจเปิดเผยได้ เพราะลำพังปัจจัยราคาน้ำมันโลกที่ลดลงต่อเนื่อง ได้กระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่สำหรับตลาดไทยกลับลดลงแรงกว่าเพื่อนบ้าน แต่ปรับลดแรงในระยะสั้นเท่านั้น หลังจากนั้นมีการปรับขึ้นมาได้ จึงสามารถสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยได้ว่ายังคงแข็งแกร่งดี
ทั้งนี้ ตลท.ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีข่าวลือต่างๆ ว่า ได้มีการแจ้งความเคลื่อนไหวให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอด เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง แล้ว โดยนักลงทุนต้องระมัดระวังเกี่ยวกับข่าวลือให้มาก เพราะปัจจุบันมีการสื่อสารออนไลน์ค่อนข้างมาก อาจจะมีทั้งข่าวจริงและไม่จริง ไม่มีการตรวจสอบ จึงต้องวิเคราะห์ข่าวก่อนเชื่อ
นอกจากนี้ หลังจากได้ติดตามความเคลื่อนไหวของ SET Index อย่างใกล้ชิด และจากการตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบพฤติกรรมการซื้อขายผิดปกติ หรือ "ทุบหุ้น" เพื่อแสวงหาประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยกลุ่มผู้ลงทุนที่ขายหุ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงราคาหุ้นที่ลดลงต่ำสุด คือ ผู้ลงทุนต่างประเทศที่มีการปรับสถานะการลงทุนภายหลังราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งไม่พบผู้ลงทุนรายใดรายหนึ่งที่มีน้ำหนัก หรืออิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย
แต่อีกหนึ่งกรณีที่เป็นที่จับตามอง คือ กระแสที่มีกลุ่มบุคคลที่พยายามปั่นตลาดหุ้นอยู่ และรอจังหวะในการช้อนซื้อหุ้น ซึ่งทำให้ได้รับผลประโยชน์อย่างมาก
งานนี้มีคนออกมาเรียกร้องว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เพราะเมื่อช่วงเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ก็เกิดมีการทุบหุ้นในลักษณะเช่นนี้มาแล้ว เหตุใดรัฐบาลและคลังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่สำคัญเป็นมาตลอดทุกรัฐบาล รวมทั้งผู้บริหารกระทรวงการคลัง และ ตลท. ที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนก็หนีไม่พ้นบรรดานักลงทุนรายย่อยที่ถูกรังแกอย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้มีการทำเรื่องนี้เกิดความชัดเจน เพราะถือเป็นการใช้ช่องโหว่ในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน อีกทั้ง ตลท.ก็ไม่เคยสนใจที่จะตรวจสอบความผิดปกติใดๆ เลย ทั้งที่ ตลท.มีกลไกและเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ได้อยู่แล้ว
เรื่องนี้จึงกลายเป็นบทพิสูจน์ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า การแก้ปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน ที่เป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลชุดนี้ จะได้ผลจริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาผลงานเรื่องนี้ยังไม่เข้าตาประชาชน และยังไม่เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งๆ ที่มีอำนาจอยู่ในมืออย่างเต็มกำลัง แต่กลับไม่มีของขวัญใดๆ ออกมาโชว์ให้ชื่นใจสักชิ้นเดียว นอกจากเรื่องปากท้องที่เริ่มเอาใจ ลดโน่น นี่ ให้ แต่ในสัญญาณอันดีนี้ ก็กลัวว่าจะโดนเอาคืนทีหลังแบบเจ็บแสบได้
เห็นได้ว่าปัญหาคอร์รัปชันยังคงกำจัดออกไปจากสังคมไทยได้ยาก เพราะที่ผ่านมาได้ฝังรากลงไปค่อนข้างลึก หากยังไม่มีการปราบปรามอย่างจริงจัง ก็จะหยั่งรากไปมากกว่านี้ ขนาดตลาดหุ้นที่เป็นองค์กรที่มีเครื่องมือในการตรวจสอบ ยังมีช่องโหว่ได้ แล้วในส่วนที่ไม่สามารถตรวจสอบได้จะออกมาเป็นเช่นใด ซึ่งสิ่งที่จะช่วยได้คือสติ และการวิเคราะห์บนพื้นฐานของความเป็นจริง คิดก่อนตัดสินใจจะเป็นวิธีป้องกันได้ดีที่สุด
ไม่ได้ฟันธงว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นการทุบหุ้นจริงหรือไม่ ถ้าหากไม่จริง ก็ถือเป็นความผันผวนจากปัจจัยหลายๆ อย่างมารวมกัน แต่หากตรวจสอบแล้วเป็นอย่างที่คิดกันจริงๆ ก็น่าใจหาย ที่ความตั้งใจล้างบางคอร์รัปชันไม่ได้ผลเสียที
คงต้องเป็นโจทย์ใหม่ของรัฐบาล ที่จะต้องขบคิดเป็นการบ้าน ก่อนจะเสียคะแนนความน่าเชื่อถือ.