สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ผลวิจัยชี้เปิด'อาร์ซีอีพี' 3อุตสาหกรรมหลักอ่วม
22/12/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

เปิดผลวิจัยมธ.ผลกระทบเปิดเสรีอาร์ซีอีพี อาเซียนบวก6พบ3อุตสาหกรรมหลัก ยานยนต์-ไฟฟ้า-เหล็ก ต้องระมัดระวังเจรจา

อาร์ซีอีพีxเศรษฐศาสตร์xธรรมศาสตร์xยานยนต์xไฟฟ้าxเหล็กxเปิดเสรีxอุตสาหกรรม

นายอาชนัน เกาะไพบูลย์ คณะวิจัยจากศูนย์บริการวิชาการเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในการสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษา “โครงการศึกษาเตรียมความพร้อมของภาคอุตสาหกรรมไทยสำหรับการจัดทำหุ้นส่วนเศรษฐกิจในภูมิภาค (RCEP)” ว่า เขตการค้าเสรีอาเซียนบวก 6 จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ที่กำลังมีเจรจากันอยู่นั้นทางคณะวิจัยได้ศึกษาและวิเคราะห์อุตสาหกรรมรายสาขาจำนวน 10 อุตสาหกรรม พบว่ามี 3 อุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและเหล็ก เป็นกลุ่มที่ผลกระทบจะขึ้นอยู่กับท่าทีการเจรจา

ขณะที่อีก 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป สิ่งทอและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ผลิตภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ อัญมณี และปิโตรเคมี เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านบวก

โดยในส่วนของยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นสาขาที่ผู้ประกอบการกังวลกับการเปิดเสรี โดยเฉพาะกับประเทศจีน หากมีการเปิดเสรี 2 สาขาการผลิตนี้จริง การค้าระหว่างไทยกับจีนจะเกิดขึ้น 2 ทิศทาง คือไทยส่งออกสินค้าไปจีนเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันจีนก็จะส่งสินค้าเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ การเปิดเสรีน่าจะมีส่วนกระตุ้นยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทข้ามชาติจากประเทศญี่ปุ่นใน 2 อุตสาหกรรมดังกล่าว ให้ลดการลงทุนในประเทศจีน และออกมาลงทุนในประเทศอื่น เพื่อส่งสินค้าเข้าไปขายในประเทศจีนแทน

ด้านอุตสาหกรรมเหล็ก ความท้าทายที่สำคัญคือปัญหาการทุ่มตลาดอันเนื่องจากปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน ที่จะให้ผลรุนแรงกว่าการเปิดเสรี เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาจีนได้เร่งขยายการผลิตอย่างมาก ทำให้มีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่

ส่วนอุตสาหกรรมไทยที่ได้รับผลกระทบด้านบวก ๆ 7 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ผลกระทบด้านบวกเกิดจากการส่งออกชุดมอเตอร์ไปยังภูมิภาค RCEP เพราะชิ้นส่วนดังกล่าวยังมีการเก็บภาษีนำเข้าในระดับ 5-10%

อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง และเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่สุดของโลกในหลายผลิตภัณฑ์ มีซัพพลายเชนที่ครบวงจรภายในประเทศ โดยเกาหลีใต้ลดภาษีให้กับสินค้าเกษตรหลักของไทย คือ ไก่ กุ้ง ทูน่า และสับปะรดกระป๋อง อินเดียจะลดภาษีทูน่าและกุ้งแปรรูป ญี่ปุ่นจะลดภาษีทูน่าแปรรูป และสับปะรดกระป๋อง และจีนจะลดภาษีสับปะรดกระป๋อง เป็นต้น

อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม จะทำให้โอกาสทางการค้าที่เปิดกว้างขึ้นและทำให้อุตสาหกรรมโดยรวมลดการพึ่งพาตลาดเดิม ส่วนผลกระทบเชิงลงมีไม่มาก เพราะประเทศจีนที่เป็นคู่แข่งสำคัญได้เปิดเสรีในกรอบอาเซียน-จีนไปแล้ว และผู้ประกอบการไทยได้ปรับปรุงการผลิตหนีจีนอย่างต่อเนื่อง

อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ไม่ได้รับทั้งผลกระทบด้านบวกและลบมากนัก เนื่องจากเคมีภัณฑ์ขั้นปลายมีการลดภาษีสินค้าวัตถุดิบเกือบทุกกรอบแล้ว จึงไม่มีผลต่อต้นทุน

อุตสาหกรรมอัญมณี จะทำให้ผู้ผลิตเครื่องประดับของไทยนำเข้าสินค้าขั้นต้น และกลางที่มีต้นทุนสูงจาก RCEP ได้มากขึ้น และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จะสร้างโอกาสให้ไทยสามารถใช้ตลาด RCEP เพิ่ม “การเปิดเสรีในกรอบ RCEP ผลที่ได้รับจะไม่เหมือนการเปิดเสรีในกรอบอื่นๆ เนื่องจากเป็นเอฟทีเอที่ซ้อนเอฟทีเอเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นประโยชน์จะเกิดขึ้นต่อเมื่อสาขาที่ยังไม่มีการเปิดเสรีในกรอบก่อนหน้า ผลที่ได้จึงจะไม่ใช่การทำให้การค้าเติบโต แต่จะช่วยสร้างบรรยากาศการค้าที่ดีขึ้น” นายอาชนัน กล่าว

 

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.