สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

เครื่องยนต์น็อก ฉุดจีดีพีต่ำ 1% สภาพัฒน์จี้ ธปท. งัดนโยบาย
14/12/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

รายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เมื่อต้นสัปดาห์ระบุว่า ในไตรมาส 3/57 จีดีพีขยายตัว 0.6% จากครึ่งปีแรกหดตัว 0.05% แม้เศรษฐกิจไทยจะมีสัญญาณการฟื้นตัวแล้ว แต่ตัวเลขทั้ง 9 เดือนขยายตัวเพียง 0.2% นับว่าเศรษฐกิจเกือบไม่เติบโต

ล่าสุด สศช.จึงปรับลดประมาณการจีดีพีทั้งปีลงมาอยู่ที่ 1% และมูลค่าการส่งออกสินค้า 0% ซึ่งเรียกว่า "ไม่ขยายตัว" จากเดิมคาดการณ์ขยายตัวที่ 1.5-2.0% และ 2.0% ตามลำดับ ส่วนประมาณการจีดีพีปี 2558 คาดว่าน่าจะขยายตัวในระดับ 3.5-4.5%

ชัด 9 เดือน เครื่องยนต์เศรษฐกิจน็อก

เมื่อพิจารณารายละเอียดในจีดีพี 3 ไตรมาสที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.) พบว่า เครื่องยนต์เศรษฐกิจเกือบทุกตัว "หดตัว" เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคภาคครัวเรือน -0.2% การลงทุนภาคเอกชน -3.6% การลงทุนภาครัฐ -7.8% มูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการ -1.7% มูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการ -6.3% มีเพียงการใช้จ่ายภาครัฐตัวเดียวที่เติบโต 2.0%

"อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" เลขาธิการ สศช. มองภาคที่ยังดีเฉพาะในไตรมาส 3/57 คือ การบริโภคภาคครัวเรือนกลับมาขยายตัว 2.2% หลังจากติดลบ 2 ไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนโดยรวมขยายตัว ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนภาคเอกชนเป็นครั้งแรกที่โต 3.9% หลังจากหดตัวติดกัน 4 ไตรมาส ด้านลงทุนภาครัฐยังติดลบ 0.8% แต่ติดลบลดลงจาก 3 ไตรมาสก่อนหน้า

ขณะที่ไตรมาส 3 ส่งออกสินค้ามีมูลค่า 56,934 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือหดตัว 1.7% ซึ่งลดลงทั้งด้านปริมาณและราคา สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกลดลง ได้แก่ ทองคำ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ยางพารา กุ้ง ปูกระป๋องและแปรรูป

ด้านการนำเข้ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น มูลค่านำเข้าสินค้าอยู่ที่ 52,154 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 0.8% เทียบกับการลดลง 11.8% ในไตรมาส 2/57 โดยนำเข้าที่ขยายตัวเกิดขึ้นในหมวดสินค้าวัตถุดิบ สินค้าทุน และสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้ไตรมาส 3/57 ดุลการค้ายังเกินดุลต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 5.8 ล้านคน หดตัว 10.1% อย่างไรก็ตามเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาขยายตัว 6.1% เป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน

"ถ้าจะทำให้จีดีพีทั้งปีเติบโต 1% ตามประมาณการไตรมาส 4/57 ต้องขยายตัวให้ได้มากกว่า 3% อย่างไรก็ตามทั้งปีโต 1% นับว่าขยายตัวต่ำในรอบ 3 ปี หลังจากปี 2554 จีดีพีโตเพียง 0.1% เพราะมีน้ำท่วมใหญ่" เลขาธิการ สศช.กล่าว

จี้ "นโยบายการเงิน" ออกแรงปลุก ศก.

เลขาธิการ สศช.กล่าวด้วยว่า ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจขณะนี้ค่อนข้างต่ำ และการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 60% ซึ่งยังมีเหลืออีกมาก "ประมาณการจีดีพีปีหน้าที่ 3.5-4.5% ยังถือว่าค่อนข้างต่ำกว่าการเติบโตตามศักยภาพของประเทศไทยที่น่าจะอยู่ที่ 4-6% ซึ่งเราเห็นนโยบายการคลังทำอยู่แล้ว ทำมาตลอด จึงอยากเห็นนโยบายการเงินที่สนับสนุนดูแลเงินบาท ผมบอกไม่ได้ว่าควรอยู่ในช่วงกี่บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่อยากให้ดูเศรษฐกิจ นอกจากเรื่องเงินเฟ้อ ต้องดูเรื่องอัตราการขยายตัวไปพร้อมกันทั้ง 2 ด้านด้วย"

5 ปัจจัยหนุนเศรษฐกิจปี′58


รายงานฉบับล่าสุด สศช.ประเมินปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยปี 2558 ไว้ว่า ด้านปัจจัยสนับสนุนมาจาก 1)การส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยคาดว่าจีดีพีโลกจะขยายตัว 3.6% แนวโน้มดีขึ้นจากปี 2556 และ 2557 ที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ คือ 3.0% และ 3.1% ตามลำดับ

2)การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการลงทุน โดยคาดว่าปีหน้าจะมีเม็ดเงินการลงทุนที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจาก บีโอไอไปแล้ว เข้ามาสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนในปีหน้าให้ดีขึ้น โดยช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บีโอไอได้อนุมัติไปแล้ว 3.8 แสนล้านบาท และยังมีวงเงินรออนุมัติอีก 2.8 แสนล้านบาท

3)การเร่งรัดใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งในปีงบประมาณ 2558 รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่าย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามมติ ครม.เมื่อ 1 ต.ค. 57 ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานราชการเร่งรัดทำสัญญาผูกพันงบฯรายจ่ายลงทุนภายในเดือน ธ.ค. 57 และเร่งเบิกจ่ายงบฯเหลื่อมปี พร้อมให้วงเงินลงทุนรัฐวิสาหกิจ 657,901 ล้านบาท เพิ่ม 20% จากปีก่อน

4)ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลง จะเพิ่มอำนาจซื้อของประชาชนและลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และ 5)ปีหน้ายอดขายรถยนต์จะกลับมาขยายตัวตามปกติ สำหรับปีนี้คาดว่ายอดขายรถยนต์ทั้งปีจะอยู่ที่ราว 7.5-8 แสนคัน ลดลงจากปีก่อน 35-40%

ห่วง ศก.โลก-รายได้เกษตรอ่อนตัว

ด้านปัจจัยเสี่ยงและข้อจำกัด สศช.ประเมินว่า ปีหน้าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยราวกลางปี ซึ่งจะมีผลให้เงินบาทเทียบเหรียญสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่า ขณะที่การขยายปริมาณเงินในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของยูโรและญี่ปุ่น มีแนวโน้มทำให้เงินบาทเทียบเงินยูโรและเยนแข็งค่า สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ซึ่งกระทบกับภาคการส่งออก ขณะเดียวกันนโยบายการเงิน และนโยบายเศรษฐกิจประเทศหลัก ๆ จะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของเงินทุน

"นอกจากนี้ ปีนี้ถึงปีหน้าเรื่องรายได้ภาคเกษตรยังน่าเป็นห่วง ทั้งจากราคาสินค้าเกษตรโลกอยู่ในภาวะซบเซา อีกทั้งภาวะภัยแล้งจะมีผลต่อผลผลิต จึงต้องดูเรื่องรายได้เสริมของภาคเกษตรให้มากขึ้น หรือเรื่องราคายางก็อาจจำเป็นต้องขอความร่วมมือชาวสวนชะลอการกรีดยาง เพื่อลดปริมาณยางในตลาด เป็นต้น"

อย่างไรก็ตามในรายงานของ สศช.ไม่ได้เอ่ยถึงปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองที่จะกระทบกับภาคเศรษฐกิจเลย

ขณะที่เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า ตอนนี้ก็ต้องช่วยกันเซตอัพ จัดระบบให้ได้มากที่สุด และจะไม่ขีดเวลาตัวเอง แต่จะเดินหน้าแก้ปัญหาและสะสางเรื่องที่คั่งค้างให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเรื่องการเมือง คนทำธุรกิจไม่ได้รอดูการเมืองจะเป็นอย่างไร เพราะเขาต้องดูแลธุรกิจของเขา คงไม่รอดูการเมืองอย่างเดียวแน่ ๆ

ธปท.รอประเมินภาพ ศก. Q4/57

ด้าน "ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุด (5 พ.ย.) ที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2.0% มีเหตุผลอย่างน้อย 4 ข้อ คือ 1.การดำเนินนโยบายการเงินโดยรวมในปัจจุบันค่อนข้างผ่อนคลาย และมีส่วนช่วยประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอยู่

2.ความขัดแย้งทางการเมืองก่อนหน้านี้ได้คลี่คลายไประดับหนึ่ง นโยบายการคลังมีความชัดเจนขึ้น โดยรัฐบาลมีความตั้งใจเบิกใช้งบประมาณตามเป้าหมาย นโยบายการคลังก็พร้อมจะกระตุ้นเศรษฐกิจ 3.ควรรักษาพื้นที่นโยบายการเงินไว้ใช้ยามจำเป็น และ 4.จากการสำรวจความคาดการณ์ของตลาดการเงินก็เห็นว่า กนง.ควรจะคงอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันไว้ก่อนได้

"หากเงื่อนไขและ สถานการณ์ในข้างหน้าไม่เป็นไปตามเหตุผลที่กรรมการมองกันไว้กนง.อาจทบทวนกัน ได้โดยจะขอติดตามข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ๆก่อนเช่น ตัวเลขที่สภาพัฒน์จะประกาศน่าจะทำให้เห็นชัดขึ้น อีกทั้งเรื่องนโยบายการเงินก็อยู่ในวิสัยที่กรรมการ กนง.จะทบทวนได้ อย่าเพิ่งไปฟันธง" ดร.ประสารกล่าว

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.