โอกาสและความท้าทายของภาคการผลิตไทย
โดย ดร.สหนนท์ ตั้งเบ็ญจสิริกุล
บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด (ดีลอยท์ ประเทศไทย)
เป็นที่ทราบกันดีว่าภาคการผลิตมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ และสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศไทยมาหลายทศวรรษ จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประมาณร้อยละ 37 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และประมาณร้อยละ 16 ของการจ้างงานในประเทศไทย เกิดจากภาคการผลิต นอกจากนี้ภาคการผลิตทำหน้าที่เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำซึ่งช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับภาคเศรษฐกิจอื่นที่เป็นอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำของไทย อาทิ การค้า การขนส่ง การก่อสร้าง การท่องเที่ยวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภาคการผลิตไทยเผชิญความเสี่ยงและความไม่แน่นอนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อ วิกฤตเศรษฐกิจและการเงินโลก อุทกภัยครั้งรุนแรง และการแย่งตลาดส่งออกและเงินลงทุนจากประเทศคู่แข่ง

สำหรับภาพรวมในปี 2557 ภาคการผลิตมีแนวโน้มหดตัวลงจากปีที่แล้วเนื่องจาก 2 สาเหตุหลัก คือ ความ ต้องการซื้อจากตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ยังไม่ฟื้นตัวดี และปัญหา การเมืองภายในประเทศซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นและความต้องการซื้อสินค้าของ ผู้บริโภคและนักลงทุน โดยมีหลายอุตสาหกรรมที่ผลผลิตหดตัว อาทิ ยานยนต์ ปิโตรเลียม อัญมณีเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร ปูนซิเมนต์ และอุตสาหกรรมที่ผลผลิตขยายตัวตามความต้องการจากต่างประเทศ ได้แก่ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป
ในปี 2558 ดีลอยท์ประเมินว่าภาคการผลิตโดยรวมจะฟื้นตัวและเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมจะขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อุปสงค์ภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นจากการดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐบาล และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น
สำหรับภาครัฐบาลสิ่งที่ควรดำเนินการในระยะสั้นเพื่อสนับสนุนภาคการผลิต คือ การปรับเปลี่ยนกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อสร้างแรงจูงใจและอำนวยความสะดวก เรื่องการลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทย ทั้งนี้ดัชนี Ease of Doing Business (ล่าสุด) ที่ทาง World Bank Group ได้จัดอันดับไว้นั้น ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่ 18 จากทั้งหมด 189 ประเทศ หากเปรียบเทียบกับกลุ่ม ASEAN ไทยยังตามหลังสิงคโปร์ (อันดับ1) และมาเลเซีย (อันดับ 6) โดยรัฐบาลช่วยแก้ปัญหาเรื่องความล่าช้าในการขอใบ รง.4 ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่ยังคงรอการแก้ไข ได้แก่ การจดทะเบียนตั้งบริษัท การเสียภาษี การขอสินเชื่อ รวมถึงการแก้ไขปัญหากรณีที่ล้มละลาย
จากการวิเคราะห์โดยหน่วยวิจัยของรัฐบาลและภาคเอกชน การเจริญเติบโตของภาคการผลิตไทยในระยะยาวนั้นขึ้นอยู่กับขีดความสามารถในการ แข่งขันและวงจรธุรกิจของแต่ละอุตสาหกรรม โดยสามารถมองอุตสาหกรรมไทยเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
• อุตสาหกรรมที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญและตลาดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น รถยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์อาหาร อาหารสัตว์ ยางพารา อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
• อุตสาหกรรมที่ตลาดอิ่มตัวและการลงทุนมีแนวโน้มลดลงในอนาคต อาทิ คอมพิวเตอร์และ อุปกรณ์ เครื่องโทรสาร กล้องดิจิตอล โทรทัศน์ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปใช้สินค้าอื่นและผู้ผลิตใช้ประเทศ อื่นที่มีต้นทุนถูกกว่าเป็นฐานการผลิต เช่น
แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน เป็นต้น
• อุตสาหกรรมที่เกี่ยวโยงกับนโยบายลงทุนภาครัฐบาล ได้แก่ กลุ่มซิเมนต์ เหล็ก และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะขยายตัวตามโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ นอกจากนี้อุตสาหกรรมเหล่านี้จะได้แรงเสริมจากการลงทุนของภาคเอกชนตามการลง ทุนของภาครัฐบาลอีกด้วย
เพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปิด AEC ในปี 2558 และทำให้ภาคการผลิตของไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกในระยะยาว ภาครัฐบาลและเอกชนควรร่วมมือกันเพื่อเอาชนะความท้าทายหลายด้าน ได้แก่
• ความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสเพิ่มขีดความสามารถของภาคการผลิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
โดย นักลงทุนชะลอการลงทุนหรือบางรายย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ทั้งนี้การปฏิรูปและแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองอย่างจริงจัง ถือเป็นหนึ่งปัจจัยแห่งความสำเร็จของภาคการผลิตของไทย
• ปัญหาด้านแรงงานปัญหาการขาดแคลนและคุณภาพแรงงานของไทยเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายและประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้กำลังแรงงานไทยลดลงในระยะยาวและส่งผลเชิงลบต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การปฏิรูประบบการศึกษาโดยเน้นสมดุลระหว่างผู้เรียนสายสามัญและสายอาชีวะ และยุทธศาสตร์การพัฒนาคนที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประเทศไทย ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนเป็นสิ่งที่จำเป็น
• ปัญหาด้านประสิทธิภาพภาคการผลิตไทยเผชิญปัญหาต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่าย ด้านโลจิสติกส์ที่สูงมายาวนาน รัฐบาลและภาคเอกชนควรร่วมมือกันในการเพิ่มประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทานการ ผลิตส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D) และสร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Add)
• ตลาดเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ ซึ่งปัจจุบัน คือ คนเจนเนอเรชั่น X และ Y ได้เปลี่ยนแปลงไปจากผู้บริโภครุ่นก่อน ส่งผลทำให้หลายอุตสากรรมที่เคยเจริญเติบโตสูงในอดีตเกิดการชะลอตัวลงหรือถด ถอย ดังนั้นต้องสร้างกลยุทธ์ขยายไปยังตลาดเป้าหมายที่มีศักยภาพ เน้นตลาดที่มีขนาดใหญ่เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีกำลังซื้อสูง
• การแข่งขัน ประเทศคู่แข่งในกลุ่ม ASEAN โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งนักลงทุนให้ความสนใจไปลงทุนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีความได้เปรียบด้านต้นทุนและมีประชากรวัยเด็กและ วัยทำงานเป็นสัดส่วนที่สูงและจะเป็นกำลังซื้อขนาดใหญ่ในอนาคต รัฐบาลอาจพิจารณาปรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนเน้นสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูง และอุตสาหกรรมที่จะใช้นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตในอนาคต
• การใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์ กลางธุรกิจและการเชื่อมโยงในคาบสมุทรอินโดจีน ผู้ประกอบการผลิตสามารถใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน กล่าวได้ว่าการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต จะเพิ่มความคล่องตัวในการขนส่งสินค้าทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ทำให้ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ลดลง (ประหยัดเงินและเวลาการส่งมอบสินค้าเร็วขึ้น) การลงทุนและความเจริญที่กระจายออกไปยังส่วนภูมิภาคทำให้ตลาดภายในประเทศขยาย ตัวได้ต่อเนื่อง