สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

การเชื่อมโยงอาเซียนกับ 6 ประเทศ ก่อตัวเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก
13/10/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

งานสัมมนา "AEC and SMEs Challenges: Next Steps (Phrase 5)" ร่วมจัดงาน โดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในงานมีปาฐกถาพิเศษโดย  นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นองค์ปาฐก ในหัวข้อเรื่อง "การเชื่อมโยงอาเซียนกับ 6 ประเทศ"  ซึ่งได้กล่าวดังนี้

" RCEP จะเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจของภูมิภาคเพราะ 1) อาเซียน+6 จะกลายเป็นกลุ่มการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีประชากรกว่า 3.4 พันล้านคน หรือร้อยละ 45 ของประชากรโลก และมี GDP รวมกันมากกว่า 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของ GDP ของโลก"

http://www.thanonline.com/images/stories/article2014/2987/4402.jpg

นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว กล่าวว่า จากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของอาเซียนที่กรุงเนปิดอร์ ประเทศเมียนมาร์ เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประเด็นที่ทุกประเทศให้ความสำคัญและหารือกันอย่างกว้างขวางคือ การส่งเสริมการเชื่อมโยง (Connectivity) ซึ่งแต่ละประเทศจะมีความเข้าใจและจุดที่ให้ความสำคัญแตกต่างกันไป เนื่องจากการเชื่อมโยงมีหลากหลายมิติ ทั้งในด้านคมนาคม เศรษฐกิจ กฎระเบียบ และระหว่างประชาชนการเชื่อมโยงในภาพใหญ่ประกอบด้วย 4 ประเด็นคือ 1) การเชื่อมโยงกับการเปิดศักราชใหม่ของเศรษฐกิจไทย 2) ความจำเป็นที่ต้องมองความเชื่อมโยงให้ไกลกว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนไปสู่ การเป็นประชาคมเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก (อาเซียน+6) 3) ความจำเป็นที่ต้องรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคเพื่อไม่ให้กระทบการ เติบโตทางเศรษฐกิจ 4) ความจำเป็นที่ SMEs ต้องปรับตัวเพื่อเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

ประเด็นแรก การเชื่อมโยงกับการเปิดศักราชใหม่ของเศรษฐกิจไทย สำหรับประเทศไทย การส่งเสริมการเชื่อมโยงเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทนำในการขับเคลื่อนความเชื่อมโยง เพราะไทยได้รับประโยชน์อย่างมากจากความเชื่อมโยงที่มากยิ่งในภูมิภาค เนื่องจากมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อยู่ใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเชื่อมโยงที่กำลังเกิดขึ้นจะช่วยให้ไทยเปลี่ยนจากการเป็นศูนย์กลางการ ผลิตของภูมิภาคไปสู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง โลจิสติกส์ และศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

ผมได้มีโอกาสหารือกับท่าน พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ท่านได้เล่าให้ฟังถึงแผนการขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมภายใน ประเทศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ระบบขนส่งทางราง ทางถนน ทางน้ำ และทางอากาศ การพัฒนาระบบรางทั้งที่เป็นการซ่อมและขยายเครือข่ายเส้นทางรถไฟทางคู่ที่ สามารถรองรับระบบรถไฟที่มีความเร็วเพิ่มขึ้น การขยายเครือข่ายระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯและปริมณฑล การขยายท่าเรือมาบตาพุดและท่าเรือแหลมฉบัง และการพัฒนาท่าเรือปากบารา จังหวัดสตูล เพื่อเชื่อมเป็นแลนด์บริดจ์ไปยังท่าเรือที่จังหวัดสงขลา

http://www.thanonline.com/images/stories/article2014/2987/4403.jpg

นอกจากนี้การพัฒนาเครือข่ายการเชื่อมโยงด้านคมนาคมพื้นฐานไปยังประเทศเพื่อน บ้าน เป้าหมายคือการพัฒนาพื้นที่ตลอดระเบียงขนส่ง (Transport Corridor) ให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor) อย่างแท้จริง ซึ่งจะมีการลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวชายแดนเพื่อเป็นศูนย์กลางและประตูการ ค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายเมืองเศรษฐกิจคู่ขนานโดยรอบกับประเทศเพื่อนบ้านและยังต้อง พัฒนากฎระเบียบเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกผ่านแดน การพัฒนาระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (National Single Window) เพื่อต่อกับ ASEAN Single Window เพื่อไม่ให้เกิดคอขวดในการผ่านแดนของคนและสินค้า การลงทุนเหล่านี้จะก่อให้เกิดระเบียงเศรษฐกิจ 3 เส้นที่เป็นเสมือนเส้นเลือดสำคัญที่จะหล่อเลี้ยงการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของ ไทยในภูมิภาคคือ

1) ระเบียงเศรษฐกิจเหนือใต้ที่เชื่อมภาคใต้ของจีนกับไทยผ่านเครือข่ายถนน เส้นทางรถไฟ ซึ่งสามารถขยายไปเชื่อมต่อกับมาเลเซียและสิงคโปร์ได้ในอนาคต

2) ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกตะวันตกที่เชื่อมเมืองดานังของเวียดนามทางตะวันออก ผ่านสปป.ลาว ไทยไปถึงเมืองมะละแหม่งของเมียนมาร์ทางด้านตะวันตก โดยทางด้านตะวันออกสามารถเชื่อมจากเวียดนามไปยังมณฑลกวางสีจ้วงทางใต้ของจีน และทางด้านตะวันตกสามารถเชื่อมต่อจากเมียนมาร์ไปยังอินเดียได้

3) ระเบียบเศรษฐกิจทางด้านใต้ระหว่างทวายของเมียนมาร์ฝั่งทะเลอันดามัน กับอีสเทิร์นซีบอร์ดในฝั่งอ่าวไทยที่สามารถเชื่อมต่อไปยังกัมพูชาและภาคใต้ ของเวียดนาม สำหรับโครงการทวายนั้นเป็นโครงการที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างมากทั้ง ต่อไทย เมียนมาร์ และภูมิภาค เพราะเป็นการเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยโดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา

ทางด้านญี่ปุ่นก็มีนโยบายการลงทุนที่เรียกว่ายุทธศาสตร์ไทย+1 ซึ่งใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในการต่อยอดเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนจีนได้ร่วมมือกับไทยในการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟและเครือข่ายถนนซึ่งเป็น ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่จะยึดโยงจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้จีนยังสนใจส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือชายฝั่งกับไทยอีกด้วย

4404

ส่วนอินเดียให้ความสำคัญอย่างมากกับโครงการถนน 3 ฝ่าย ไทย เมียนมาร์ อินเดีย ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกตะวันตกกับภาคตะวันออกเฉียง เหนือของอินเดีย และอินเดียยังสนใจหาลู่ทางเชื่อมต่อท่าเรือทวายกับท่าเรือเจนไนทางตอนใต้ของจีน

ประเด็นที่ 2 ความจำเป็นที่ต้องมองความเชื่อมโยงให้ไกลกว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนไปสู่ การเป็นประชาคมเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก (อาเซียน+6) หรือ East Asia Economic Communityอาเซียนจำเป็นต้องมองไปไกลกว่าปี 2558 เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ หรือ Post 2015 Visions จริงๆแล้วการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ด้วยแรงผลักดันขับเคลื่อนของกลไกตลาด แต่อาเซียนต้องไปไกลกว่านั้นโดยต่อยอดความร่วมมืออาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี หรือ อาเซียน+3 และข้อตกลงการค้าเสรีที่อาเซียนทำกับประเทศคู่ค้าในเอเชียตะวันออกทั้ง 6 ประเทศคือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นรายประเทศในรูปของ อาเซียน+1 FTA และพัฒนาเป็นการตกลงการค้าเสรีระดับภูมิภาคของ อาเซียน+6 หรือ Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP)ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก ในอนาคต โดยการเจรจา RCEP ได้เริ่มต้นแล้ว

RCEP จะเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจของภูมิภาคเพราะ

1) อาเซียน+6 จะกลายเป็นกลุ่มการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีประชากรกว่า 3.4 พันล้านคน หรือร้อยละ 45 ของประชากรโลก และมี GDP รวมกันมากกว่า 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของ  GDP ของโลก

2) จะเป็นการตอกย้ำบทบาทของเอเชียตะวันออกที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก

3) เป็นการกระตุ้นการค้าภายในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่มีมูลค่าการค้าภายในกันเองประมาณร้อยละ 25 ของมูลค่าการค้าต่างประเทศทั้งหมดของอาเซียน ปัจจุบันไทยมีการค้ากับกลุ่ม อาเซียน+6 สูงถึงร้อยละ 56 ของมูลค่าการค้าต่างประเทศทั้งหมดของไทย นอกจากการเจรจา อาเซียน+6 หรือ RCEP แล้วยังมีการเจรจาอีกหนึ่งกรอบคือ Trans-Pacific Partnership (TPP) ที่มีสมาชิกจำนวน 12 ประเทศ

สำหรับ TPP หลายฝ่ายยังมีความกังวลว่า เป็นความตกลงที่มีมาตรฐานสูงทั้งทางด้านทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน และสิ่งแวดล้อมเป็นต้น ฉะนั้นไทยจึงทำเพียงแค่ติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิดเท่านั้น ซึ่ง RCEP และ TPP นั้นมีเป้าหมายเดียวกันและไปในทิศทางเดียวกัน สามารถเสริมซึ่งกันและกันได้ โดยเฉพาะเป้าหมายในการพัฒนาเขตการค้าเสรีให้ครอบคลุมทั้งเอเชียแปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia Pacific)

ประเด็นที่ 3 ความจำเป็นที่ต้องรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคเพื่อไม่ให้กระทบการ เติบโตทางเศรษฐกิจการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของภูมิภาคกำลังเดินหน้าไปด้วยดี แต่ในขณะเดียวกันการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคกลับไม่ได้พัฒนาไปในทิศทาง ที่สอดคล้องกัน เพราะปัจจัยพื้นฐานที่เอื้อกับการพัฒนาเศรษฐกิจคือการมีสภาพแวดล้อมทางการ เมืองที่มั่นคงทุกวันนี้ประเทศไทยมีความกังวลในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง มหาอำนาจในภูมิภาค โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ที่มีการแข่งขันกันและมีความตึงเครียดมากขึ้น ซึ่งความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นในขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อการพยายามแก้ไขความ ขัดแย้งต่างๆ ประเด็นเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค รวมถึงการค้าการลงทุน

ประเด็นสุดท้าย ความจำเป็นที่ SMEs ต้องปรับตัวเพื่อเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ธุรกิจ SMEs จำเป็นจะต้องปรับวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เป็นเชิงรุกมากขึ้น มีการผนึกกำลังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ การรวมกลุ่ม การพัฒนาเครือข่าย การใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ และการมองไปไกลกว่าโอกาสในประเทศไทย

นอกจากนี้การสนับสนุนจากภาครัฐมีความสำคัญอย่างมากสำหรับความสำเร็จของ SMEs จึงมีการกำหนดให้การส่งเสริม SMEs เป็นวาระแห่งชาติ และกำลังจะมีมาตรการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ในระดับสากล และความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อรองรับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.