สอท. เผยดัชนีความเชื่อมั่นเดือนกรกฎาคมเพิ่มต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 หลังการเมืองคลี่คลาย ประชาชนมีความเชื่อมั่น ยอดสั่งซื้อสินค้าเพิ่ม แนะภาครัฐกำหนดนโยบายเศรษฐกิจให้ชัดเจน เร่งเบิกจ่ายงบ กระตุ้นการลงทุน

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่าผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย (Thai Industries Sentiment Index: TISI) ในเดือนกรกฎาคม 2557 อยู่ที่ระดับ 89.7 ปรับเพิ่มจากระดับ 88.4 ในเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยค่าดัชนีฯที่เพิ่มขึ้นเกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการที่ดีขึ้น
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าดัชนี ได้แก่ ผู้ประกอบการเริ่มเห็นทิศทางและนโยบายที่ชัดเจนทางการเมือง ประกอบกับการดำเนินกิจการมีทิศทางที่ดีขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)เห็นได้จากดัชนียอดคำสั่งซื้อและยอดขายในประเทศที่ เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในบางอุตสาหกรรมมียอดขายลดลง เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูฝน
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังตื่นตัวเรื่องการค้าชายแดน การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ตลอดจนการให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ผู้ประกอบการส่งออกยังกังวลต่อการตัดสิทธิพิเศษด้านภาษี(จีเอสพี)ของ สหภาพยุโรป ทำให้ต้องเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถพร้อมรับมือการแข่งขันที่มีแนว โน้มรุนแรง
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 103.1 ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 101.9 ในเดือนมิถุนายนโดยค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากองค์ ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวมที่ปรับตัวดีขึ้น
“ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่สภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน และสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ส่วนที่กังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน”นายสุพันธุ์กล่าว
พร้อมกันนี้ผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐคือต้องการให้ภาครัฐกำหนดทิศ ทางและนโยบายทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน รวมทั้งเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้า ปัจจัยการผลิต แรงงาน เพื่อช่วยส่งเสริมการค้าชายแดน พร้อมสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาสินค้าให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมเอส เอ็มอี
นายสุพันธุ์กล่าวว่า ทิศทางการเมืองที่เริ่มมีความชัดเจน จากการเข้าบริหารประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จนส่งผลต่อเนื่องให้สามารถแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ภายในสัปดาห์นี้จะ ผลักดันให้ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งปีขยายตัว 2%
ขณะที่ปี 2558 คาดว่าจะขยายตัวได้ 4.5-5% หากคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน(กรอ.)เร่งแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับ
การดำเนินกิจการต่างๆ โดยเฉพาะการแก้ระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง โครงการภาครัฐควรสั่งซื้อวัตถุดิบจากเอสเอ็มอีในประเทศเป็นสัดส่วน 30% ส่งเสริมการค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น ลดอัตราภาษีของธุรกิจเอสเอ็มอี ให้สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้ในสัดส่วน 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ทั้งนี้สอท.จะนำดังกล่าวเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) พิจารณาในนัดถัดไป
ส่วนภาพรวมการส่งออกในปี 2558 อาจขยายตัวได้ถึง 5% จากการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมหลักต่างๆ อาทิ กลุ่มยานยนต์ แต่ยังคงเป็นห่วงกลุ่มสินค้าการเกษตรที่มีราคาตกต่ำโดยเฉพาะยางพารามียอดส่ง ออกลดลงเกือบ 50% จำเป็นต้องแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรให้มากขึ้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่วนค่าเงินบาทหากแข็งหรืออ่อนค่าอยู่ในระดับ 50 สตางค์ จากระดับปัจจุบันที่ประมาณ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ยังไม่เป็นปัญหาต่อผู้ส่งออก
นายศักดิ์ชัย อุ่นจิตติกุล รองประธาน สอท. ในฐานะประธานสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (เอสเอ็มไอ) กล่าวว่า สอท.จะเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีเช่นผลักดันให้นำภาษีเงินได้นิติบุคคล 1% มาใช้เป็นกองทุนในการขับเคลื่อนธุรกิจเอสเอ็มอี ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลให้เหลือ 10-15% ให้กับเอสเอ็มอีปรับหลักเกณฑ์การค้ำประกันเงินกู้ของบรรษัทประกันสินเชื่อ อุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จาก 18% เป็น 30-50% เป็นต้น