ส.อ.ท.ประเมินดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมครึ่งปีหลังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มีสัญญาณดีจากเดือนพ.ค.-มิ.ย.เริ่มโงหัว หลังความเชื่อมั่นลดลงต่อเนื่องมา 58 เดือน ชี้ปัจจัยหลักมาจากสถานการณ์การเมืองเริ่มนิ่ง คสช.เดินแผนได้ตามโรดแมปที่วางไว้ พร้อมมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลต่อยอดคำสั่งซื้อพุ่ง ชงขอให้เร่งแก้ข้อกฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคการค้าจะช่วยดึงความเชื่อมั่นกลับมาเร็วขึ้นอีก
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้เข้ามาบริหารประเทศครบ 2 เดือน และได้ดำเนินงานตามแผนโรดแมปที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นการออกรัฐธรรมนูญชั่วคราว การตั้งรัฐบาลในเดือนกันยายน การตั้งสภาปฏิรูปประเทศ และกำหนดการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในช่วงกลางปีหน้า ส่งผลให้ภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ดีขึ้น
ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ คสช.ที่ออกมา ได้แก่ การเดินหน้าระบบโครงสร้างพื้นฐาน การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 การเร่งรัดส่งเสริมการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบอร์ดบีโอไอ ที่จะมีการพิจารณาอนุมัติส่งเสริมการลงทุนกับโครงการที่ยังค้างอยู่กว่า 7.42 แสนล้านบาท ให้เสร็จภายในเดือนสิงหาคมหรือกันยายนนี้ จากที่ผ่านมาได้มีการอนุมัติไปแล้ว 92 โครงการ มูลค่าการลงทุน 2.58 แสนล้านบาท
อีกทั้ง ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน อย่างการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานหรือรง.4 จากที่ผ่านมาเคยมีปัญหาในการขออนุญาตมีความล่าช้า ขณะนี้ก็ได้รับการแก้ไขที่รวดเร็วขึ้น ลดอุปสรรคการลงทุนของภาคเอกชนได้อย่างมาก ประกอบกับความกังวลของผู้ประกอบการต่อการที่ประเทศไทยถูกลดอันดับการค้า มนุษย์ลงมาอยู่ในระดับ Tier 3 ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้มีการทำความเข้าใจและชี้แจงกับประเทศคู่ค้า ทำให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ลดความกังวลของผู้ประกอบการที่จะส่งออกสินค้าไปจำหน่ายได้
นายสุพันธุ์ กล่าวอีกว่า ดังนั้น ในครึ่งปีหลังจากนี้ไป ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยจะมีการปรับตัวสูงขึ้นทุกเดือน ต่อเนื่องมาจากเดือนมิถุนายน ที่ดัชนีความเชื่อมั่นมาอยู่ที่ระดับ 88.4 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมที่อยู่ในระดับ 85.1 จากที่ก่อนหน้านี้ดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องมา 58 เดือนนับจากเดือนกรกฎาคม 2552 ที่ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่า ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม และปริมาณการผลิตจะปรับตัวสูงขึ้น เห็นได้จากการบริโภคของประชาชน การจับจ่ายใช้สอยผ่านธุรกิจค้าปลีกในประเทศปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
โดยเห็นได้จากการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรม ที่มีการคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะอยู่ที่ระดับ 101.9 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม ที่มีการคาดการณ์ไว้อยู่ที่ 101 ที่ผู้ประกอบการยังมีความเชื่อมั่นว่าผลประกอบการจะออกมาดี จากยอดคำสั่งซื้อ และปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยในส่วนของอุตสาหกรรมขนาดย่อม ค่าดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะขึ้นมาอยู่ระดับ 101.4 เพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 99.1 อุตสาหกรรมขนาดกลาง ขึ้นมาอยู่ระดับ 100.6 จากที่คาดการณ์ไว้ในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 100.4 ขณะที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ระดับ 103.9 จากที่คาดการณ์ไว้ในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 104.1
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ภาคเอกชนยังมีความเป็นห่วงอยู่ในการเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งได้เสนอไปยังคสช.ให้เร่งรัดในการแก้ปัญหาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายทางการค้าที่ยังมีความล้าหลัง ควรจะให้มีการปรับปรุงแก้ไขให้ทันกับสถานการณ์ กฎระเบียบขั้นตอนการทำงาน การขออนุญาต พิธีการต่างๆ ต้องแก้ไขให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยสร้างความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการได้อีกทางหนึ่งด้วย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,969 วันที่ 27 - 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557