นายปฏิมา จีระแพทย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่าการค้าระหว่างประเทศของ SMEs ในช่วง 4 เดือน (มกราคม-เมษายน) การส่งออกของ SMEs มีมูลค่ารวม 600,636.17 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25.3% ของการส่งออกรวมของประเทศ
ส่วนสินค้าที่มีการส่งออกสูงสุด ได้แก่ หมวดอัญมณีและเครื่องประดับ คิดเป็นมูลค่า 94,193.10 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดผลิตภัณฑ์พลาสติกและของทำด้วยพลาสติก และหมวดเครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ตลาดที่มีการส่งออกสูงสุด ได้แก่ จีน คิดเป็นมูลค่า 68,446.82 ล้านบาท รองลงมาคือ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ
ทั้งนี้ การนำเข้าของ SMEs มีมูลค่า 686,948.33 ล้านบาท หดตัวลดลงประมาณ 20.5% เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28.3 ต่อการนำเข้ารวม สินค้าที่มีการนำเข้าสูงสุด ได้แก่ หมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ มีมูลค่า 110,949.90 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดเครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ และหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ ตลาดที่ SMEs มีการนำเข้าสูงสุด ได้แก่ จีน คิดเป็นมูลค่า 145,925.18 ล้านบาท รองลงมาคือ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ตามลำดับ
ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยปัจจัยบวก ประกอบด้วย 1.การปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจและประมาณการค้าโลกที่ขยายตัวมากขึ้น 2.เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกมีโอกาสที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.แรงกดดันด้านราคาน้ำมันและเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มที่จะอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เอื้ออำนวยต่อนโยบายการเงิน เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนปัจจัยเสี่ยง ที่ผลกระทบด้านการท่องเที่ยว จากการแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศแรงขับ เคลื่อนจากอุปสงค์ภาครัฐยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เนื่องจากการใช้จ่ายภายใต้แผนการลงทุนภาครัฐทั้งในด้านการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ระบบบริหารจัดการน้ำ ฯลฯ