กสิกรไทยชี้ ปี’57 ภาคธุรกิจเบนเข็มสู่ตลาดส่งออก ... เจาะกลุ่ม CLMV
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "ปี’57 ภาคธุรกิจเบนเข็มสู่ตลาดส่งออก ... เจาะกลุ่ม CLMV หนทางปรับตัวท่ามกลางกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแรง"
ประเด็นสำคัญ
? ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ท่ามกลางภาวะอ่อนแรงของกำลังซื้อภายในประเทศ การปรับตัวของภาคธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น อาจทำได้โดยการเพิ่มสัดส่วนและให้ความสำคัญมากขึ้นกับตลาดส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มอาเซียน เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ขณะเดียวกัน ธุรกิจที่เน้นผลิตเพื่อส่งออกอยู่แล้ว ควรใช้กลยุทธ์ทางการค้าที่เหมาะสมในการขยายตลาดศักยภาพเพิ่มเติม พร้อมกับแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่อยู่เสมอภายใต้การบริหารจัดการความเสี่ยง ที่สอดคล้องกัน ซึ่งน่าจะเป็นแผนสำหรับการดำเนินการในระยะกลางถึงยาว
? กลุ่มประเทศ CLMV เป็นตลาดที่ผู้ประกอบการมีโอกาสสูงในการเจาะตลาดผู้บริโภค เนื่องจากยังมีแนวโน้มความต้องการสินค้าเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการขยายตัวของความเป็นเมืองอีกมาก และผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็ให้การตอบรับที่ดีต่อสินค้าไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ วัสดุก่อสร้าง และสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น
? สำหรับธุรกิจที่เน้นผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศเป็น หลักและมีข้อจำกัดในการขยายตลาดส่งออกนั้น อาจจำเป็นต้องกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าผ่านการจัดกิจกรรมทางการตลาด ที่มีประสิทธิภาพภายใต้ต้นทุนที่รับได้ รวมถึงการลดทอนความสูญเสียในกระบวนการผลิตเพื่อบริหารจัดการต้นทุน นอกจากนี้ การเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ ทั้งการพัฒนาฝีมือแรงงาน ปรับปรุงเครื่องมือเครื่องจักร การนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยที่จะดำเนินการเพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในยาม ที่สภาพเศรษฐกิจกลับมาเอื้ออำนวยอีกครั้ง
ในยามที่ภาวะการใช้จ่ายของภาคประชาชน ถูกกดดันจากปัจจัยด้านค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่รายได้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักหรืออาจจะลดลงสำหรับบางกลุ่มตามจำนวน ชั่วโมงการทำงานที่น้อยลง อีกทั้งบางส่วนยังมีภาระที่ต้องชำระคืนหนี้ที่ได้ก่อไว้ในช่วงก่อนหน้านี้
ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและอารมณ์ในการจับจ่าย ใช้สอยของผู้บริโภค ตลอดจนการลงทุนของภาคธุรกิจ ซึ่งภาวะอ่อนแรงที่เกิดขึ้นนี้ มีโอกาสที่จะดำเนินต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง จึงส่งผลให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะที่เน้นผลิตสินค้าเพื่อรองรับตลาดในประเทศต้อง เผชิญแรงกดดันจากยอดขายที่ชะลอลง ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้จ่ายของภาครัฐบาล เป็นต้น ดังนั้น การปรับตัวเพื่อให้สามารถรอดพ้นจากสภาวะที่ยากลำบากไปได้ คงเป็นสิ่งจำเป็นที่ภาคธุรกิจต้องเร่งดำเนินการ
แนวทางการปรับตัวของธุรกิจ … มุ่งเพิ่มสัดส่วนตลาดส่งออกมากขึ้น
ด้วยภาวะกำลังซื้อในประเทศที่คงจะยังอยู่ในทิศทางอ่อนแรงอย่างต่อเนื่องใน ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปี 2557 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การให้ความสำคัญมากขึ้นกับตลาดส่งออก น่าจะเป็นทางเลือกสำหรับภาคธุรกิจที่ค่อนข้างมีความยืดหยุ่น โดยเฉพาะในตลาดที่กำลังซื้อมีแนวโน้มฟื้นตัวและมีการตอบรับที่ดีต่อสินค้า ไทย ซึ่งกลยุทธ์อาเซียน (AEC) เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ผู้ประกอบการสามารถเลือกนำมาปรับใช้ทั้งเพื่อ ประคองธุรกิจจากสถานการณ์เฉพาะหน้า และเพื่อวางแผนรุกตลาดผ่านการค้าและการลงทุนในระยะกลางถึงยาวต่อไป

? ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจที่ผลิตสินค้าจำหน่ายทั้งตลาดในและต่างประเทศ ควรพิจารณาปรับสัดส่วนการผลิตโดยเพิ่มน้ำหนักให้กับตลาดส่งออกมากขึ้น ซึ่งในหลายธุรกิจก็ได้มีการวางแผนและดำเนินการไปบ้างแล้ว อาทิ ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจยานยนต์ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
? ผู้ประกอบการที่เน้นผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลักอยู่แล้ว อาจขยายการส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังตลาดที่มีศักยภาพอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะในตลาดที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว/ขยายตัวในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ตลาดที่ผู้ส่งออกสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าผ่านความตกลงระหว่างประเทศ ต่างๆ รวมไปถึงตลาดที่ให้การยอมรับในคุณภาพของสินค้าไทย ได้แก่ ตลาดสหรัฐฯ สหภาพยุโรป อาเซียน (โดยเฉพาะกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม หรือ CLMV)
ทั้งนี้ การประคองธุรกิจท่ามกลางปัจจัยลบเฉพาะหน้าในปัจจุบันนั้น การเพิ่มสัดส่วนตลาดส่งออกซึ่งเน้นไปที่ตลาด AEC โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV นับว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการไทยสามารถนำมาปรับใช้ได้ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ยังมีแนวโน้มความต้องการสินค้าเพื่อรอง รับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของความเป็นเมือง อีกทั้งผู้บริโภคในตลาดดังกล่าวส่วนใหญ่ก็ให้การตอบรับที่ดีต่อสินค้าไทย
อย่างไรก็ตาม การที่จะเพิ่มน้ำหนักในตลาดส่งออกและสามารถแข่งขันได้นั้น ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องชูจุดเด่นด้านคุณภาพและมาตรฐานการผลิตของสินค้า ที่สอดคล้องกับระดับราคา การส่งมอบสินค้าที่ตรงเวลา การใช้กลยุทธ์การเข้าถึงสินค้าและการวางตำแหน่งทางการตลาดให้เหมาะสมกับ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจนคำนึงถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงในด้านต่างๆ อย่างถี่ถ้วน อาทิ ความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงด้านเครดิตการค้าและคู่สัญญา เป็นต้น
นอกเหนือจากการเบนเข็มสู่ตลาดส่งออกซึ่งเป็นกลยุทธ์เพื่อรับมือกับโจทย์ที่ ท้าทายเฉพาะหน้าในประเทศแล้ว การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะก่อนการเปิดเสรี AEC ในปี 2558 ถือเป็นการวางแผนธุรกิจของผู้ประกอบการไทย ซึ่งจำเป็นต้องมีความพร้อมในทุกด้านและใช้เวลาเตรียมการพอสมควร ทั้งนี้ ภาคธุรกิจไทยอาจพิจารณาขยายกำลังการผลิตเพื่อรุกตลาด AEC ที่ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประชาชนในประเทศยังมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ ดี
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพควรพิจารณาการขยายฐานการผลิต/การลงทุนไปยังต่าง ประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ภายใต้รูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมและรัดกุม เพื่อสร้างโอกาสและความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้มีมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาฐานการผลิตแห่งใดแห่งหนึ่ง เป็นหลัก
โดยกลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจในการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ ได้แก่ ธุรกิจที่ใช้แรงงานเข้มข้น อาทิ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า/เครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เป็นต้น เนื่องจากในกลุ่ม CLMV ยังมีข้อได้เปรียบด้านค่าจ้างแรงงานที่อยู่ในระดับต่ำ จำนวนแรงงานที่มีอยู่มาก และสิทธิประโยชน์ด้านภาษีภายหลังจากการเปิดเสรี AEC
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากการแสวงหาคู่ค้า/พันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ ประเด็นด้านกฎระเบียบและเกณฑ์การลงทุนต่างๆ รวมถึงวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยที่จะเข้าไปลงทุนไม่ควรละเลย ทั้งนี้ก็เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น
การขยายฐานการผลิต/การลงทุน ถือเป็นหนึ่งกลยุทธ์ของธุรกิจที่มีความพร้อมและจำเป็นต้องเตรียมการ
อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ประกอบการไทยได้ทยอยออกไปลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยสาขาที่ไปลงทุน ส่วนใหญ่คือ การผลิต (อาทิ การผลิตอาหาร การผลิตคอมพิวเตอร์/อิเล็กทรอนิกส์) การทำเหมืองแร่และเหมืองหิน การขายส่งและขายปลีก กิจกรรมทางการเงินและประกันภัย ขณะที่ อาเซียน นับเป็นจุดหมายปลายทางอันดับแรกของธุรกิจไทยตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาจน ถึงปัจจุบัน
สำหรับผู้ประกอบการที่มีข้อจำกัดทั้งการเพิ่มสัดส่วนตลาดส่งออก รวมไปถึงการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กในบางประเภทธุรกิจ แนวทางรับมือกับสภาวะที่กำลังซื้อในประเทศอ่อนแรงนั้น ที่สำคัญจะยังคงอยู่ที่การบริหารจัดการเพื่อดูแลประสิทธิภาพการผลิต/การ ดำเนินงานเป็นหลัก โดยอาจครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ได้แก่ การลดต้นทุนการดำเนินงาน การลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต (Zero Waste) การปรับปรุงเครื่องมือเครื่องจักร การพัฒนาฝีมือแรงงานให้สามารถทำงานได้หลากหลายมากขึ้น (Multi-skilled) การนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพสินค้า ตลอดจนการเลือกใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพและมีผลในการกระตุ้นการ ซื้อสินค้าของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายภายใต้ต้นทุนที่ไม่สูง อาทิ การจัดอีเว็นต์ที่เฉพาะเจาะจง การใช้สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในหลายช่องทางเพื่อเพิ่มการเข้าถึงและสร้าง ความตระหนักในสินค้าต่อผู้บริโภค เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการพิจารณาแนวทางการสร้างเครือข่ายหรือพันธมิตรเพื่อเสริม ศักยภาพทางธุรกิจด้วยการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของสายการผลิตที่ยังมีแนว โน้มเติบโตได้ ทั้งนี้เพื่อให้ธุรกิจมีความพร้อมที่จะรับมือกับสภาวะการแข่งขันในยามที่ สภาพเศรษฐกิจกลับมาเอื้ออำนวยอีกครั้งในอนาคต