สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศของไทยเวลานี้ ยังอยู่ในรูปแบบเดิมคือ ฝ่ายหนึ่งคือรัฐบาลและอีกฝ่ายคือกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)ฝ่ายหลังเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศไทยก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งเลือกตั้งมาแล้ว 1 ครั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้เป็นโมฆะเนื่องจากไม่สามารถจัดการเลือกตั้งในวันเดียวกันได้ ตามบทบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญไทย ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) อยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ไม่ทราบว่าจะจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ได้เมื่อใด และจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่จะไม่ลงเอยเหมือนการเลือกตั้งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557
รัฐบาลเมื่อมีสภาพเป็นรัฐบาลรักษาการจึงไม่อาจคิดเกมรุกเชิงเศรษฐกิจให้แก่ประเทศได้ ได้แต่เพียงดูแลให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมายเท่านั้น ขณะที่เวลาที่เดินหน้าอยู่ตลอดเวลา ทำให้คดีความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่าย กปปส.ก็เข้าใกล้ขั้นตอนต่างๆ ตามกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงว่า คำวินิจฉัยของศาล โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญอาจส่งผลลบต่อฝ่ายรัฐบาลรักษาการได้ ขณะที่คดีที่แกนนำกปปส.ถูกดำเนินคดี ส่วนใหญ่เป็นคดีอาญา ทุกขั้นตอน ทุกกระบวนการจะเป็นไปตามวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งขั้นตอนจะยาวกว่าการพิจารณาคดีในศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ
เราเชื่อว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลปกครองที่เกี่ยวข้องแก่คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องมีผลออกมาไม่เกิน 2เดือนนี้ หรืออย่างช้าไม่น่าจะเกินสิ้นเดือนมิถุนายน 2557 นี้นั่นก็หมายความว่าระบบเศรษฐกิจของไทยยังจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาการเมืองภายในประเทศอีกต่อไปอย่างน้อย 2-3เดือนข้างหน้า
ดังนั้นเราจึงขอร้องให้ผู้ประกอบการทั้งหลายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ขอได้โปรดพิจารณาดำเนินธุรกิจกันต่อไป ไม่ต้องถึงขั้นเปิดเกมรุก ตามทฤษฎี “มีวิกฤติย่อมมีโอกาส” แต่ต้องช่วยกันประคับประคองสถานะของกิจการกันต่อไป เวลาแห่งการเก็บเกี่ยวสะสมทุนได้ล่วงพ้นมาแล้ว และเข้าสู่ภาวะการกินทุน(หวังว่าจะเป็นระยะสั้น) เครื่องจักรเศรษฐกิจทุกหน่วยเดินเครื่องต่อไป อย่าให้หยุดเพราะสถานการณ์ทางการเมืองที่ถึงขั้นเลวร้ายในเวลานี้ เชื่อว่าจะผ่านพ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า เราเชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการไทยมีสายป่านมากพอที่จะให้เครื่องจักรทั้งระบบเดินต่อไปได้
เครื่องจักรของระบบเศรษฐกิจในภาพรวมซึ่งมี 3 หน่วย คือด้านการเงิน ด้านการคลัง และด้านการส่งออก จะเห็นได้ว่าเครื่องจักรเศรษฐกิจไทยบกพร่องที่ 2 เครื่องจักร คือด้านการคลังเพราะไม่สามารถออกมาตรการใหม่มากระตุ้นได้ตามข้อจำกัดของกฎหมายรัฐธรรมนูญและอีกเครื่องที่บกพร่องไปก่อนหน้านี้ก็คือ เครื่องจักรด้านการส่งออก ซึ่งบกพร่องมาตั้งแต่ต้นปี 2556 แล้ว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,939 วันที่ 13 - 16 เมษายน พ.ศ. 2557