แบงก์เดินยุทธศาสตร์เทรดไฟแนนซ์เน้นคุณภาพ-ราคา-โปรดักต์ตอบโจทย์ ค่าย "กสิกรไทย"สกรีนคู่ค้าหลังจับคู่ธุรกิจสำเร็จกว่า 100รายแนะผู้ประกอบการไทยตรวจสอบผู้ซื้อ/ดูโรงงานป้องกันโกง ขณะที่ "ทีเอ็มบี"ส่งทีมอาร์เอ็มประกบเพื่อดูวงเงิน- ความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด
นายกิตติพันธุ์ แจ่มประวิทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจต่างประเทศ และพัฒนากระบวนการลูกค้าธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ปีนี้ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศหรือเทรดไฟแนนซ์น่าจะขยายตัวได้ดีกว่าก่อน ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินการเติบโตส่งออกอยู่ที่ 5-7% ขณะที่การนำเข้าขยายตัวที่ 3.5-5% โดยภาพรวมการเติบโตมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และกลุ่มในประเทศอาเซียน ซึ่งอุตสาหกรรมที่จะได้รับประโยชน์ จะเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่กำลังขยายกำลังการผลิตเพื่อส่งออก เช่น รถยนต์ รวมถึงอุตสาหกรรมที่กำลังคลี่คลายจากปัจจัยเฉพาะที่กดดันสินค้าบางรายการใน ปีก่อน เช่น อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป กุ้ง เป็นต้น
ดังนั้น ธนาคารจึงตั้งเป้าเติบโตเทรดไฟแนนซ์ที่ 16% จากปีก่อนเติบโตอยู่ที่ 11-12% ซึ่งเป็นการขยายตัวสอดคล้องกับภาวะตลาดการส่งออก-นำเข้าที่มีอัตราการเติบโต ดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่มีศักยภาพในการค้าขายกับตลาดอา เซียนเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปเริ่มมีกำลังซื้อดีขึ้น ซึ่งเป็นอานิสงส์ในทางบวกแก่ประเทศไทย
"ธนาคารจะเน้นส่งเสริมการค้าขายในประเทศ "เออีซี+3" ทั้งประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจปีนี้ โดยแนะนำลูกค้าผ่านการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) มากขึ้น จากปีก่อนสามารถจับคู่ธุรกิจลูกค้าสำเร็จกว่า 100 ราย รวมถึงรวบรวมข้อมูลเชิงลึกของคู่ค้า ตลอดจนการสกรีนคู่ค้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถูกคู่ค้าหลอกลวง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาปัญหาที่พบบ่อย จะเป็นเรื่องของการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศจีนกับผู้ขายรายใหม่ โดยทางผู้ซื้อของไทยไม่ได้มีการตรวจสอบการมีตัวตนของผู้ขาย ประวัติการค้าขายของผู้ขาย และไม่เคยไปเยี่ยมดูโรงงานผลิต ทำให้ผู้ซื้อคนไทยถูกโกง เช่น กรณีการพบก้อนหิน/ทรายทางตู้คอนเทนเนอร์ เป็นต้น ขณะที่กลุ่มผู้ส่งออก ธนาคารจะมีทีมงานช่วยหาแหล่งซัพพลายที่มีประสิทธิภาพผ่านเครือข่ายสาขาที่มี อยู่จะช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการได้ดีขึ้น และจากกลยุทธ์ที่กล่าวมาเชื่อว่าอัตราการเติบโตของปริมาณธุรกรรมการค้า ระหว่างจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ "
ขณะเดียวกัน ธนาคารยังคงรักษาการเติบโตระหว่างรายได้จากค่าธรรมเนียม และรายได้จากอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกัน โดยคงสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 40% และดอกเบี้ย 60% โดยธนาคารต้องการลดค่าธรรมเนียมเพื่อดึงดูดลูกค้าให้หันมาใช้บริการทำธุรก รรมทางการค้าระหว่างประเทศกับธนาคารมากขึ้น ตลอดจนการรักษาส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ในแง่ปริมาณธุรกรรมเทรดไฟแนนซ์อยู่ที่อันดับ 2 ของตลาด หรือประมาณ 20%
"ตอนนี้แฟกเตอร์สำคัญของธุรกิจเทรด คือ คุณภาพการให้บริการ เพราะในภาวะตลาดที่ไม่ได้เติบโตมาก และชิงเค้กเพียงก้อนเดียว เรื่องคุณภาพการบริการจะมาเป็นอันดับ 1 และราคาเป็นเรื่องรองลงมา และตัวสำคัญ คือมีโปรดักต์ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ครอบคลุม ทั้งในแง่ความเสี่ยง และการเติบโตอย่างมีคุณภาพ"

ด้านนายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ บมจ.ธนาคารทหารไทย หรือทีเอ็มบี เปิดเผยว่า จากการพูดคุยกับลูกค้า เริ่มเห็นปริมาณธุรกรรมการค้าดีขึ้น แม้ว่าช่วงต้นปีอาจจะสะดุดไปบ้าง แต่สัญญาณทั้งปีน่าจะดีกว่าปีก่อน โดยภาพรวมการส่งออกขยายตัวดีขึ้น และนำเข้าอาจชะลอตัวไปบ้าง ซึ่งทีเอ็มบีปีนี้จะเน้นในเรื่องการดูแลลูกค้า โดยมีพนักงานลูกค้าสัมพันธ์ประกบติดลูกค้า เพื่อดูวงเงิน ความเสี่ยงให้ลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยปีนี้ภาพการส่งออกจะดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มภาควัสดุก่อสร้าง อาหารแปรรูป อาหารทะเล ที่ได้รับปัจจัยบวกมาจากการฟื้นตัวของโรคกุ้งตายด่วนที่ดีขึ้น รวมถึงอุตสาหกรรมสิ่งทอที่เริ่มขยายตัวได้ดี ส่วนภาคการนำเข้านั้นอาจจะเติบโตไม่ดีนัก เป็นผลมาจากค่าเงินที่อ่อนค่า ทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่ม จึงชะลอการนำเข้าเครื่องจักรหรือวัตถุดิบต่างๆ ออกไปก่อน
"สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจนั้น ธนาคารยังคงตั้งเป้าเติบโตธุรกิจเทรดไฟแนนซ์อย่างต่อเนื่อง จากมูลค่าปริมาณการค้ารวมทั้งสิ้นกว่า 10 ล้านล้านบาท โดยธนาคารตั้งเป้าเติบโตด้านปริมาณธุรกรรมประมาณ 20-30% หรือมียอดปริมาณธุรกรรมเพิ่มเป็น 1.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีปริมาณธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศประมาณ 1 ล้านล้านบาท หรือเติบโตเพียง 10% เป็นผลมาจากการส่งออกได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ทำให้ปริมาณการส่งออกขยายตัวไม่สูงมาก"
อย่างไรก็ดี แม้ว่าสัญญาณการเติบโตจะดีขึ้นกว่าปีก่อน แต่ผู้ประกอบการก็ยังคงมีปัจจัยที่จะต้องเผชิญความผันผวนของค่าเงินอยู่ ทั้งจากปัญหาการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของสหรัฐอเมริกา ที่จะมีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงิน ดังนั้นผู้ประกอบการทั้งนำเข้า-ส่งออก ควรเพิ่มความระมัดระวังในการปิดความเสี่ยงค่าความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งธนาคารจะนำกลยุทธ์ในการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดมาเป็นกลยุทธ์หลักในการทำ ธุรกิจในปีนี้ เนื่องจากทิศทางการแข่งขันจะเป็นในเรื่องการขยายฐานลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะใช้บริการกับธนาคารอื่นก่อนอยู่แล้ว ทำให้ธนาคารที่ต้องการขยายธุรกิจนี้ จะต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ทั้งในเรื่องการเติบโตของธุรกิจและการปิดความเสี่ยง
ทั้งนี้ สัดส่วนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณเพิ่มขึ้น โดยลูกค้าขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และลูกค้ารายกลางมีสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยงแล้วประมาณ 30% จากฐานลูกค้าทั้งหมด ขณะที่ภาพรวมการค้าโลก จะเห็นว่าประมาณ 80% ของปริมาณธุรกรรม จะเป็นอัตราส่วนการชำระราคาแบบ Open Account และที่เหลือประมาณ 14-16% เป็นการทำธุรกรรมผ่าน Letter of Credit (L/C) ส่งผลการเกิดปัญหาสัญญาณการเบี้ยวหนี้ของคู่ค้าในปัจจุบันไม่มีเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นน้อยมาก
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,935
วันที่ 30 มีนาคม - 2 เมษายน พ.ศ. 2557