เมื่อวันที่ 6-7 มีนาคมที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ร่วมกับสมาพันธ์หอการค้าและอุตสาหกรรมอินเดีย (FICCI)และสถาบันคลังสมอง ได้แก่ Institute for Defense and Strategic Analyses (IDSA), Indian Council for World Affairs (ICWA), SAEA Group Research Singapore Institute of South Asian Studies (ISAS) และ Economic Research Institute of ASEAN and East Asia (ERIA)ได้จัดการประชุม Delhi Dialogue ขึ้น ที่เมืองหลวงแห่งอินเดีย กรุงนิวเดลี

การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุม track 1.5 (ภาครัฐเป็นผู้ริเริ่มนโยบาย ภาคเอกชนร่วมแสดงความคิดเห็น) เพื่อเป็นเวทีให้นักคิดนักวิจัยในระดับมันสมอง หารือเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ในกรอบอาเซียน-อินเดีย และเสนอข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะต่อผู้นำและผู้วางนโยบาย เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของอาเซียน-อินเดีย
การประชุมครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 6 แล้ว (จึงมีชื่อย่อว่า DDVI)แต่ปีนี้มีความพิเศษตรงที่ว่า นอกจากผู้แทนจากภาครัฐและนักวิชาการกว่า 100 คน ฝ่ายอินเดียยังได้เชิญคณะทูตผู้แทนถาวรประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศประจำสำนักงานเลขาธิการอาเซียนที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ตลอดจนคณะกรรมการว่าด้วยความเชื่อมโยงของอาเซียน (ASEAN Connectivity Coordinating Committee-ACCC) เข้าร่วมด้วย
ตลอดระยะเวลา 2 วันของการประชุมภายใต้ธีม "Realizing the ASEAN-India Vision for Partnership and Prosperity" ที่มีผู้แทนระดับสูงของฝ่ายอินเดียมาร่วมกล่าววิสัยทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า อาเซียน-อินเดียที่มีจำนวนประชากรรวม 1.8 พันล้านคน และผลผลิตรายได้ประชาชาติ (GDP)รวม 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีศักยภาพและมีผลประโยชน์ร่วมกันอีกมาก
สิ่งที่ทุกคนเห็นว่าจะเป็นพาหนะสำคัญที่จะนำอาเซียนและอินเดียไปสู่เป้าหมาย ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันคือนโยบายความเชื่อมโยง (connectivity)ระหว่างกัน ที่ทั้ง2ฝ่ายต้องเร่งรัดให้มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะนอกจากการเชื่องโยงจะช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันแล้ว ยังจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาพื้นที่ที่ความเชื่อมโยงนี้จะพาดผ่านด้วย
ในส่วนของอินเดีย รัฐบาลอินเดียเน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงทางบกกับอาเซียน โดยรัฐบาลอินเดียได้บรรจุแผนพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือไว้ในแผนพัฒนาประเทศ ของอินเดีย และกำหนดให้กระทรวงต่างๆ กันงบประมาณ 10% ไว้ให้กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาตั้งแต่ปี 2541-42 แม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีพื้นที่คิดเป็นเพียง 7.9% ของพื้นที่ประเทศทั้งหมด และมีจำนวนประชากรเพียง 3.76% ของประชากรทั้งประเทศก็ตาม
นอกจากทางบกแล้ว โครงการเชื่อมโยงอาเซียน-อินเดียยังมีโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายในประเทศเมีย นมาร์ ที่จะช่วยเชื่อมต่อการขนส่งจากท่าเรือแหลมฉบังของไทย ไปยังชายฝั่งด้านตะวันออกของอินเดีย โดยเฉพาะเมืองเจนไนและเมืองกัลกัตตา และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจแม่น้ำโขง-อินเดีย (Mekong-India Economic Corridor)ผ่านการเชื่อมโยงทางทะเล แหลมฉบัง-ทวาย-เจนไน ซึ่งระเบียงเศรษฐกิจนี้ จะอำนวยความสะดวกการขนส่งชิ้นส่วนรถยนต์ คอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา และวัตถุดิบอื่นๆ ระหว่างอาเซียน-อินเดีย
ในส่วนการเชื่อมโยงทางอากาศ มีการกล่าวถึงการเปิดเพิ่มเที่ยวบินตรงจากเมืองสำคัญของประเทศอาเซียนไปยัง เมืองสำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย อาทิ คุวหติ (Guwahati) เมืองหลวงของรัฐอัสสัม และอิมผาล (Imphal)เมืองหลวงของรัฐมณีปุระ ซึ่งมีชายแดนด้านตะวันออกติดกับเมียนมาร์ เป็นต้น โดยในส่วนของเมียนมาร์ สายการบิน Golden Myanmarได้เริ่มเปิดเที่ยวบินตรงระหว่าง มัณฑะเลย์-อิมผาล ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
รัฐบาลอินเดียยังเตรียมอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐาน ซึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 (ปี 2555-60) รัฐบาลอินเดียได้กำหนดวงเงินไว้ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 9% ของ GDPเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้ในสัดส่วน 100% รวมถึงให้สิทธิพิเศษต่างๆ แก่นักลงทุนด้วย
ถึงแม้ว่ากลุ่มประเทศอาเซียนจะจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใน ภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund: AIF)แต่โครงการและแผนงานต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คงจะประสบความสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีส่วนร่วมของภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การร่วมเปิดฐานการผลิตบนเส้นทางการเชื่อมโยง และการเปิดให้บริการอื่นๆ เพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมและการคมนาคมที่จะเกิดขึ้น
เอกชนไทยจึงน่าจะพอเห็นแล้วว่า มีโอกาสมากมายที่มากับนโยบายความเชื่อมโยงอาเซียน-อินเดีย ทั้งในระยะยาวที่จะมาจากการคมนาคมขนส่งระหว่างกันที่สะดวกยิ่งขึ้น และโอกาสมหาศาลในระยะสั้นที่เอกชนไทยสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครง สร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความเจริญในอนาคตได้ ตอนนี้ก็คงอยู่ที่ว่า ภาครัฐและเอกชนทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถช่วยกันผลักดันสิ่งที่พูดกันมาทั้งหมดให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้ หรือไม่
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,931 วันที่ 16 - 19 มีนาคม พ.ศ. 2557