ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ ปี’56 ไทยนำเข้าจากจีนพุ่ง ดันจีนขึ้นแชมป์คู่ค้าไทยครั้งแรก จับตาปี’57...นำเข้าจากจีน เบียดตลาดในไทยและอาเซียน
ประเด็นสำคัญ
? การส่งออกของไทยไปจีนปีม้า เปิดตัวในเดือนมกราคม 2557 ด้วยภาพหดตัวร้อยละ 0.77 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนำเข้าจากจีนขยายตัวร้อยละ 3.4 (YoY) ทำให้ไทยเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนเป็นมูลค่า 1,340 ล้านดอลลาร์ฯ ทำสถิติเป็นรายเดือนสูงสุดในรอบ 6 เดือน ทั้งนี้ การขาดดุลการค้ากับจีนเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง หลังจากในปี 2556 การค้าระหว่างไทยกับจีนทำสถิติครั้งใหม่ 2 ด้าน คือ ไทยเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนทุบสถิติใหม่เป็นมูลค่า 10,488 ล้านดอลลาร์ฯ เสริมภาพบทบาทของจีนในแง่มุมของการเป็นแหล่งนำเข้าที่สำคัญของไทยมากขึ้นนับ จากนี้ไป และหนุนให้จีนขยับขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
? สินค้าไทยเผชิญโจทย์ยากในปี 2557 ในการรักษาส่วนแบ่งตลาดเมื่อต้องแข่งขันกับสินค้าจีนทั้งในตลาดไทยและอา เซียน โดยสินค้าจีนรุกเข้ามาเจาะตลาดอาเซียนอย่างก้าวกระโดด จนทำให้มีส่วนแบ่งถึงร้อยละ 16.9 ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมดของอาเซียน (จากร้อยละ 8.5 ในปี 2546) ขณะที่ส่วนแบ่งของไทยค่อนข้างทรงตัวในช่วงเวลาเดียวกันใกล้เคียงร้อยละ 4 ตอกย้ำว่าการรุกตลาดของสินค้าจีนซึ่งมีความหลากหลายและราคาย่อมเยาอาจยิ่งกด ดันให้สินค้าไทยที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับสินค้าจีนสูญเสียส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น นับจากนี้ อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เครื่องจักรกล สิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วน/อะไหล่รถยนต์ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น

จีน ขึ้นแท่นเป็นคู่ค้าเบอร์ 1 ของไทย ในปี 2556 แซงแชมป์เก่าอย่างญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยมูลค่าการค้ารวม 64,965 ล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.6 ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย ตามมาด้วยญี่ปุ่นที่มีสัดส่วนร้อยละ 13.2 สหรัฐฯ และมาเลเซีย ตามลำดับ ตอกย้ำว่าจีนไม่เพียงเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยเท่านั้น แต่สินค้าจากจีนยังเข้ามาทำตลาดในไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งหนุน ให้จีนมีบทบาทโดดเด่นในการเป็นแหล่งนำเข้าที่สำคัญจนทำสถิติมูลค่านำเข้าสูง สุดครั้งใหม่ที่ 37,727 ล้านดอลลาร์ฯ และเป็นรองญี่ปุ่นที่เป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของไทยเพียง 3,356 ล้านดอลลาร์ฯ จึงมีความเป็นไปได้ว่าจีนจะกลายเป็นแหล่งนำเข้าที่แซงหน้าญี่ปุ่นได้ในระยะ อันใกล้ หากสินค้าจีนได้รับการตอบรับที่ดีในไทยดังเช่นทุกวันนี้
นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในปี 2556 คือ เป็นปีที่ 2 ที่ไทยขาดดุลการค้ากับจีนเกินหมื่นล้านดอลลาร์ฯ ด้วยสถิติใหม่ที่ 10,488 ล้านดอลลาร์ฯ จากการชะลอตัวด้านการส่งออกของไทยไปจีนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับ โครงสร้างเศรษฐกิจของจีน ซึ่งส่งผลจำกัดการส่งออกของไทยไปจีนให้มีมูลค่าเพียง 27,238 ล้านดอลลาร์ฯ โดยสินค้าไทยไปจีนทุกกลุ่มสินค้าล้วนชะลอตัวไม่ว่าจะเป็นยางพาราและ ผลิตภัณฑ์ยางที่รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมไปถึงสินค้าเพื่อการผลิตทั้งเคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และโดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบจีนนำเข้าจากประเทศอื่นมากขึ้น
สำหรับสถานการณ์การค้าระหว่างไทย-จีนล่าสุด ภาพการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในจีนได้ส่งผลต่อเนื่องมายังการส่งออก ของไทยไปจีนในเดือนมกราคม 2557 เปิดตัวด้วยภาพอ่อนแรงเล็กน้อยมีมูลค่า 2,178 ล้านดอลลาร์ฯ หดตัวร้อยละ 0.77 (YoY) ประกอบกับแรงฉุดที่สำคัญจากสินค้าคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบที่เคยเป็นสินค้า ส่งออกเบอร์ 1 ของไทยไปจีน หดตัวถึงร้อยละ 30.6 (YoY) รวมทั้งยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า และผลไม้ ก็หดตัวด้วยเช่นกัน ขณะที่การนำเข้าจากจีนมีมูลค่า 3,518 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัวร้อยละ 3.4 (YoY) นำโดยเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และเครื่องจักรกล ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ทิศทางการค้าระหว่างไทยกับจีนในปีนี้ยังต้องจับตาต่อไป
สินค้าจากจีนในไทย : ขยับขึ้นครองอันดับ 1 หลายรายการ
ปี 2556 ... สินค้ากลุ่มหลักจากจีนมีบทบาทต่อไทยอย่างมาก
ทุกวันนี้สินค้าจากจีนที่พบเห็นในไทยทั้งสินค้าที่ไม่มีแบรนด์ สินค้าแบรนด์ของจีน สินค้าแบรนด์ต่างชาติที่เข้าไปผลิตในจีน หรือแม้แต่สินค้า House Brand ของไทยแต่ผลิตในจีน มีวางจำหน่ายทั่วไปตามร้านค้าหลายระดับ เข้าถึงลูกค้าหลายกลุ่มตั้งแต่แผงลอยริมถนน ไปจนถึงในห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่ต้องการนำเสนอสินค้าคุณภาพและรูปลักษณ์ แปลกใหม่ ตลอดจนมีฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลาย

ซึ่งสินค้าจากจีนมีทั้งในกลุ่มอุปโภคบริโภคไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า ผักและผลไม้เมืองหนาว รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่เพียงเท่านั้น สินค้าในกลุ่มที่ป้อนสู่ภาคการผลิตก็เป็นที่ยอมรับด้วยมาตรฐานและคุณภาพ สินค้าที่เหมาะสมกับราคา อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านราคาประหยัด เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ เหล็ก อะไหล่รถยนต์ และผลิตภัณฑ์โลหะ เป็นต้น จนทำให้ยอดนำเข้าสินค้าจากจีนสูงแซงหน้าการนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นได้ จะเห็นได้ว่า สินค้านำเข้าจากจีนในกลุ่ม 20 อันดับแรก เป็นสินค้าที่มีบทบาทติด 1 ใน 3 ในส่วนแบ่งการนำเข้าของไทยด้วย สะท้อนว่านับจากนี้สินค้าไทยในประเทศไทยเองต้องแข่งขันกับจีนร้อนแรงมากขึ้น
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ลดภาษีสินค้าระหว่างกันเกือบทั้งหมดภายใต้กรอบการค้าเสรี (FTA) อาเซียนกับจีนตั้งแต่ปี 2553 ทำให้สินค้าที่ผลิตจากจีนหลั่งไหลเข้ามาสู่ไทยอย่างต่อเนื่องเติบโตร้อนแรง เฉลี่ยร้อยละ 22.9 ต่อปีในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (ขณะที่การส่งออกเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 14.8) ส่วนหนึ่งเพราะนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ของโลกหลายรายมีฐานการผลิตในจีนไม่ ว่าจะเป็น ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงรถยนต์ทั้งของญี่ปุ่น/ยุโรป/สหรัฐฯ นักลงทุนเหล่านี้จึงเป็นแรงผลักดันสำคัญทำให้สินค้าจากจีนกระจายไปยังตลาด ส่งออกปลายทางทั่วโลก และโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่มี FTA เป็นตัวเชื่อมการค้าระหว่างกัน
นอกจากนี้ ธุรกิจสัญชาติจีนเริ่มพัฒนาการผลิตจนมีแบรนด์เป็นของตนเองได้บ้างแล้ว โดยอาศัยความโดดเด่นด้านราคาย่อมเยา และมีฟังก์ชั่นการใช้งานครบในหนึ่งเดียว (all-in-one) อาทิ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค สมาร์ทโฟน และรถยนต์ขนาดเล็ก เป็นต้น อย่างไรก็ดี สินค้าแบรนด์ท้องถิ่นของจีนยังเผชิญความท้าทายในการทำตลาดระยะข้างหน้าทั้ง ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและโดยเฉพาะต้องสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับ ทัดเทียมกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ในขณะที่บทบาทของจีนในการเป็นฐานการผลิตสินค้าต้นทุนต่ำ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อค่าจ้างแรงงานในประเทศปรับตัวสูงขึ้น
นับจากปี 2546 ที่เริ่มจัดตั้ง FTA ระหว่างอาเซียนกับจีน ในช่วงเวลานั้นสินค้าจากจีนมีสัดส่วนร้อยละ 8.5 ของการนำเข้าของอาเซียนทั้งหมด ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่มีราคาประหยัดโดยเฉพาะในกลุ่มอุปโภคบริโภค และวัตถุดิบขั้นต้น แต่ในขณะนี้สินค้าจากจีนที่เข้ามายังอาเซียนได้ขยายตัวไปในกลุ่มวัตถุดิบ ขั้นกลาง และกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตซับซ้อน ทำให้สินค้าจากจีนมีสัดส่วนถึงร้อยละ 16.9 ในตลาดอาเซียนในปี 2556 ซึ่งสินค้าจีนมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในทุกประเทศอาเซียน ขณะที่สินค้าไทยมีส่วนแบ่งเพียงร้อยละ 4.3 เท่านั้น (จากร้อยละ 3.8 ในปี 2546)

โดยเมื่อมองจากฝั่งประเทศจีนที่ส่งออกมายังอาเซียน จะพบว่าขยายตัวสูงถึงร้อยละ 19.4 ในปี 2556 เป็นอัตราที่สูงกว่าการส่งออกของจีนไปตลาดโลก ยิ่งสะท้อนถึงสินค้าจากจีนที่มีราคาย่อมเยารุกขยายตลาดได้อย่างกว้างขวางใน อาเซียน โดยสินค้าจากจีนมีปลายทางมุ่งไปที่เวียดนามครองสัดส่วนถึง 1 ใน 5 ของมูลค่าสินค้าทั้งหมดจากจีนที่ไปยังอาเซียน จากการที่เวียดนามเป็นหนึ่งในฐานการผลิตสินค้าที่อยู่ในความสนใจขยายการลง ทุนของนักลงทุนทั้งอาเซียนและต่างชาติรวมถึงจีน ทำให้มีความต้องการสินค้าวัตถุดิบและสินค้าทุนเพื่อการผลิตซึ่งต้องพึ่งการ นำเข้าเป็นหลัก และล่าสุดทำให้ไทยเริ่มเสียส่วนแบ่งตลาดในเวียดนามให้แก่สินค้าจีนไปบ้าง แล้ว รวมถึงสินค้าไทยยังต้องแข่งขันกับสินค้าจากจีนที่เติบโตอย่างมากในประเทศอาเซียนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
โดยสรุป เป็นที่ทราบกันดีว่าจีนเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก ทำให้สินค้าที่ผลิตจากจีนหลั่งไหลเข้าสู่ไทยและอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ว่าสินค้าแบรนด์ท้องถิ่นของจีนอาจเผชิญโจทย์ยากในการมัดใจผู้บริโภค และสร้างการยอมรับในตลาดสากล ท่ามกลางความท้าทายที่ตลาดอาเซียนยังค่อนข้างนิยมสินค้าแบรนด์ชั้นนำจากผู้ นำด้านเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และสินค้าที่ผลิตจากไทยก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีกว่าสินค้าจีนหลายรายการ อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า เมื่อมองไปข้างหน้าการแข่งขันระหว่างสินค้าไทยกับสินค้าที่ผลิตจากจีนคงทวี ความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าราคาย่อมเยาที่ผลิตจากจีน จึงเป็นประเด็นที่ธุรกิจไทยต้องเร่งแก้เกมการค้ากับจีนเพื่อรักษาส่วนแบ่ง ตลาดของสินค้าไทยนับจากนี้ไป
สินค้าไทยเผชิญการแข่งขันกับสินค้าราคาประหยัดจากจีนเพื่อชิงพื้นที่ตลาดใน ไทย โดยสัญญาณการแข่งขันของสินค้าจากจีนที่เข้ามาทำตลาดในไทยเข้มข้นขึ้นในช่วง ที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นได้จากผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของจีนได้เข้ามาตั้งฐานการ ผลิตในไทย รวมทั้งสินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตก็เริ่มรุกมาทำตลาดอย่างมากด้วย การชูจุดเด่นของสินค้าที่มีประสิทธิภาพการใช้งานในหนึ่งเดียว (all-in-one) ด้วยราคาเหมาะสม นอกจากนี้ เมื่อมองข้ามไปถึงการรักษาพื้นที่ตลาดในอาเซียน ซึ่งสินค้าไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในบางประเทศอาเซียนให้แก่สินค้าที่ผลิตจาก จีนไปบ้างแล้ว ตอกย้ำว่าธุรกิจไทยที่ทำการผลิตและส่งออกไปยังอาเซียนคงต้องเร่งปรับตัว อีกทั้ง นักลงทุนต่างชาติบางรายย้ายฐานการผลิตออกจากไทยไปยังประเทศอื่นในอาเซียน ยิ่งเพิ่มความท้าทายในการพัฒนาศักยภาพการผลิตและส่งออกของไทยที่มีปลายทาง เป็นตลาดอาเซียน
สำหรับสินค้าที่มีเกณฑ์แข่งขันสูงขึ้นจากการรุกเข้ามาของสินค้าที่ผลิตจาก จีน ซึ่งอาจเสียเปรียบในด้านขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องจักรกล สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์จากจีนซึ่งเติบโตก้าวกระโดดและเป็นที่ต้องการรองรับการ พัฒนาเมืองใหม่ในหลายประเทศอาเซียน
ดังนั้น ในปี 2557 ธุรกิจไทยคงต้องเผชิญความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจที่ผลิตสินค้าคล้ายคลึงกับจีนและเน้นทำตลาดในไทยและในอาเซียน ต้องเร่งปรับรูปแบบการทำธุรกิจ เน้นการแข่งขันด้านคุณภาพสินค้า เพื่อให้อยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันกับสินค้าจากจีนที่เร่งทำตลาดในอาเซียน ขณะนี้