นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)เปิดเผยภาพรวมการลงทุนของประเทศไทยเมื่อปี 56 ที่ผ่านมาว่ามีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 2,237 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 1,110,400 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานใหม่ 207,463 คนสำหรับกิจการที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนสูงสุด คือกิจการบริการและสาธารณูปโภค จำนวน 849 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 522,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมารองมาเป็นกิจการในกลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง 448 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 254,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%
ทั้งนี้ประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 562 โครงการเงินลงทุนรวม 282,848 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 54% ของมูลค่าลงทุนจากต่างประเทศ รองลงมาเป็นการลงทุนจากจีน จำนวน 45 โครงการมูลค่าการลงทุน 42,530 ล้านบาท มาเลเซีย จำนวน 35 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 29,190 ล้านบาท “ภาพรวมการลงทุนในปีที่ผ่านมา ถือว่าน่าพอใจ แม้จะลดลงจากปี 55 ที่มีจำนวน 2,347 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 1,182,000 ล้านบาทหรือลดลงทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน 5-6% แต่นับว่ามีมูลค่าการลงทุนที่เกินกว่า 1 ล้านล้านบาทและสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 900,000 ล้านบาท”
สำหรับปัจจัยเชิงบวกที่มีต่อการลงทุนในปีนี้แม้ว่าปัญหาการเมืองของไทยยังไม่คลี่คลายลง ได้แก่ความสนใจลงทุนในไทยจากญี่ปุ่นยังมีอย่างต่อเนื่องและอุตสาหกรรมหลักๆในไทยยังมีการลงทุนสูงส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนเพื่อเตรียมรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เช่น ยานยนต์ รวมทั้งอีโคคาร์ รุ่นที่ 2 พลังงานทดแทนการขนส่งทางอากาศ แปรรูปเกษตร รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวการส่งออกเริ่มดีขึ้น ขณะที่ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในปีนี้ได้แก่สถานการณ์ทางการเมืองที่หากเกิดความยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน นอกจากนี้ความล่าช้าของโครงการเมกะโปรเจ็กและโครงการบริหารจัดการน้ำ.