สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

GCAP ลุยไฟ - มั่นใจหุ้นยืนเหนือจอง
22/12/2013
ข่าวอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล

หุ้นไอพีโอเมินม็อบ ตบเท้าเข้าเทรดเดือนนี้พรึบ GCAP ลงสนามวันนี้ ผู้บริหารมั่นใจราคายืนเหนือจองที่ 2.70 บาท/หุ้น ชี้แนวโน้มธุรกิจแจ่มปีนี้พอร์ตสินเชื่อโตกว่า20% เชื่อปีหน้าจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ระบุผลงาน 9 เดือนแรกปีนี้ กำไร 31.07 ลบ. ด้าน SPVI ยันเข้าเทรด 19 ธ.ค. นี้ แม้ผู้บริหารยอมรับรายได้-กำไรปีนี้ต่ำกว่าปีก่อน เหตุ ศก.ชะลอ ฟาก OCEAN เคาะราคาขายไอพีโอ 0.90 บาท /หุ้น เปิดจองซื้อ 16-18 ธ.ค. เข้าเทรด 23 ธ.ค.นี้ พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี 56 โตไม่ต่ำกว่า 20% ส่วนปี 57 ตั้งเป้าโต 20% ด้านเซียนหุ้นชี้ ปัจจัยการเมืองยังเสี่ยงต่อไอพีโอปี 57

* GCAP เริ่มซื้อขายใน mai 17 ธ.ค. 
           
  นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. จี แคปปิตอล (GCAP) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 17 ธันวาคม 2556 แม้ปัจจุบันมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ไทยยังเป็นทางเลือกหนึ่งที่ธุรกิจสามารถใช้ระดมทุนเพื่อขยายกิจการได้ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม
              GCAP เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท สองน้ำ จำกัด (ครอบครัวสารสาส) และธนาคารออมสิน จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนเกษตรกรให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นเพื่อนำไปเพิ่มประสิทธิภาพในการทำเกษตรกรรม โดยบริษัทให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อแก่ลูกค้าที่ต้องการซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรทั้งเครื่องจักรใหม่และที่ใช้แล้ว อาทิ รถเกี่ยวนวดข้าว รถพรวนดิน และรถแทรกเตอร์ เป็นต้น ภายใต้แนวคิด “สินเชื่อฉับไว เกษตรไทยก้าวหน้า” GCAP มีทุนชำระแล้ว 100 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 150 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 50 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 26 – 28 พฤศจิกายน 2556 ในราคาหุ้นละ 2.70 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 135 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
              นายสันติ หอกิตติกุล กรรมการผู้จัดการ GCAP เปิดเผยว่า จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเพิ่ม ศักยภาพของธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตที่ดี ในอนาคตเพื่อรองรับปริมาณความต้องการของลูกค้าสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อ เนื่องหลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GCAP 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มสองน้ำ ถือหุ้น 47.26% กองทุนส่วนบุคคลธนาคารออมสิน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 13.12% กองทุนส่วนบุคคล United Overseas Bank Limited โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 13.12% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 13.85 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสย้อนหลัง (ไตรมาส 4 ปี 2555 - ไตรมาส 3 ปี 2556) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.195 บาท ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินสำรองตามกฎหมายและเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทกำหนด

* บิ๊ก GCAP มั่นใจเทรดวันแรกยืนเหนือจอง
              นายสันติ หอกิตติกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อแก่ลูกค้าที่ต้องการซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร ในหลากหลายประเภท ภายใต้แนวคิด "สินเชื่อฉับไว เกษตรไทยก้าวหน้า" เปิดเผยถึง การซื้อขายหุ้น GCAP วันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 17 ธันวาคมนี้ ว่า มั่นใจว่าหุ้น GCAP ที่เข้าซื้อขายวันแรกจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ทำให้สามารถยืนเหนือราคาจองที่ 2.70 บาท/หุ้นได้ เนื่องจากบริษัทฯ มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร และการให้บริการสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเป็นบริการเสริมให้ แก่ผู้เช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ ผลประกอบการของ GCAP มีทิศทางการเติบโตอย่างชัดเจนในอนาคต ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่ได้รับหุ้นจัดสรรไม่เพียงพอหรือ ไม่ได้รับการจัดสรร จะตามเก็บหุ้นในกระดานเพิ่มเติมเพื่อหวังผลตอบแทนในระยะยาว และเชื่อว่า หลังเข้าทำการซื้อขาย GCAP จะไม่ทำให้ผู้ลงทุนผิดหวัง
              ทั้งนี้ภายหลังการระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์เงินระดมทุนจำนวน 135 ล้านบาท บริษัทฯจะนำไปขยายพอร์ตสินเชื่อจากสิ้นไตรมาส 3 ที่มีมูลค่าพอร์ตรวม 776 ล้านบาท คาดว่าในปีหน้าพอร์ตสินเชื่อจะขยายตัวทะลุหลัก 1,000 ล้านบาท

* คาดปีหน้าปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ

              นายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS กล่าวว่า ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน GCAP กล่าวว่า มั่นใจว่าในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรกของหลักทรัพย์ GCAP จะสูงกว่าราคาเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนในครั้งแรก (IPO) ที่ 2.70 บาทต่อหุ้น เนื่องจากความต้องการซื้อหุ้นจากการเสนอขายหลักทรัพย์ได้รับความสนใจล้นหลาม จากราคาที่น่าสนใจ และมีส่วนลดให้กับนักลงทุนร้อยละ 49 จากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ของหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ GCAP และเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตในอัตราที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการสินเชื่อของเกษตรกร
              นอกจากนั้น เม็ดเงินจากการขายหุ้น IPO จะก่อให้เกิดการขยายพอร์ตสินเชื่อของบริษัทฯ และจากการนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งส่งผลต่อผลตอบแทนในอนาคต โดยคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2557 ในการอนุมัติการจ่ายเงินปันผลด้วย

*โชว์ผลงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไร 31.07 ลบ.

              บริษัท จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/56 สิ้นสุด 30 ก.ย.56 ว่า มีกำไรสุทธิ 8.47 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้น 0.06 บาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 8.03 ล้านบาท และกำไรต่อหุ้น 0.05 บาท ส่วนงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 31.07 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้น 0.21 บาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 24.70 ล้านบาท และกำไรต่อหุ้น 0.16 บาท

* ข้อมูลบริษัท จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)
              บริษัท จีแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เดิมชื่อ บริษัท จี แคปปิตอล จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2547 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ล้านบาท โดยเป็นการร่วมทุนตามสัญญาร่วมลงทุนเพื่อดำเนินธุรกิจเช่าซื้อระหว่าง บริษัท สองน้ำ จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มของผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจเช่า ซื้อกับธนาคารออมสิน โดยมีจุดประสงค์หลักเริ่มแรกเพื่อประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ เครื่องจักรกลการเกษตรเป็นแห่งแรกของประเทศไทยภายใต้แนวคิด "สินเชื่อฉับไว เกษตรไทยก้าวหน้า" จากแนวคิดและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ต้องการสนับสนุนด้านการเงินให้แก่ เกษตรกรได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ทำให้เกษตรกรได้มีเครื่องจักรกลการเกษตรที่ทันสมัยไปใช้งานในการเพิ่ม ประสิทธิภาพการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เป็นผลให้ชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีรายได้มั่นคงและยั่งยืน จากแนวคิดและวิสัยทัศน์ดังกล่าว ทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ขยายตัวอย่างรวดเร็วและได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 บริษัทฯ ได้ทำการจดทะเบียนแปรสภาพเป็น บริษัทมหาชนจำกัด มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้นจำนวน 100 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนที่เรียกชำระแล้ว 100 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ประกอบธุรกิจการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร ทั้งเครื่องจักรกลใหม่และเครื่องจักรกลที่ใช้แล้ว ได้แก่ รถเกี่ยวนวดข้าว รถพรวนดิน รถแทรกเตอร์ รถคีบไม้ รถคีบอ้อย เครื่องอบลดความชื้นเมล็ดพืช เป็นต้น โดยให้สินเชื่อเช่าซื้อแก่ลูกค้าที่เป็นเกษตรกรที่ใช้เครื่องจักรกลเป็นหลัก นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ให้บริการสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและมีบริการเสริมให้แก่ผู้ เช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรซึ่งเป็นลูกค้าของบริษัทอีกด้วย

* ด้าน SPVI ยันเข้าเทรด 19 ธ.ค. นี้ ไม่หวั่นการเมืองผันผวน

              นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด(มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.เอส พี วี ไอ (SPVI) เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า การเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ของหุ้น SPVI จะเป็นไปตามกำหนดการเดิมคือ 19 ธ.ค.นี้ โดยยืนยันว่าจะไม่การเลื่อนออกไปอย่างแน่นอนแม้จะมีปัญหาการเมืองในประเทศที่ยังยืดเยื้อเป็นปัจจัยลบที่คอยกดดันอยู่ก็ตาม
              "เรายังยืนยันว่ายังเข้าเทรดเหมือนเดิมตามกำหนดการ ปัญหาการเมืองอาจจะมีผลกระทบต่อจิตวิทยาของนักลงทุนบ้าง แต่ยังเชื่อมั่นในพื้นฐานของบริษัทฯ ราคาหุ้นก็มีส่วนลดเพื่อจูงใจนักลงทุน โดยมีส่วนลด 49.88% เทียบ P/E ของ mai เอ็มเอไอ และมีส่วนลดถึง 61.78% หากเทียบ P/E ของ บจ.ที่ทำธุรกิจคล้ายคลึงกัน อีกอย่างหนึ่งหุ้นตัวนี้ไซส์ไม่ใหญ่มากจึงไม่น่าจะมีผลกระทบอะไร ที่สำคัญแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจเป็นไปในทิศทางที่ดีมากๆ ตามการเติบโตของตลาดไอทีและสมาร์ทโฟน" นายสมภพ กล่าว
              SPVI ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 110 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาหุ้นละ 0.90 บาท โดยกำหนดเปิดให้จองหุ้นเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 11-13 ธ.ค.นี้ และจะเข้าซื้อขายในกระดาน mai วันที่ 19 ธ.ค.56

* ผู้บริหารยอมรับรายได้-กำไรปีนี้ต่ำกว่าปีก่อน

              นายไตรสรณ์ วรญาณโกศล กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) (SPVI) ยอมรับว่า รายได้และกำไรสุทธิในปีนี้จะต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 2,520 ล้านบาท กำไรสุทธิ 44.85 ล้านบาท จากเดิมที่เคยตั้งเป้าหมายว่าจะเติบโต 15% จากปีก่อน เนื่องจากภาวะการชะลอตัวของการบริโภคในประเทศ ซึ่งตลาดไอทีโดยรวมลดลงไปกว่า 30% ขณะเดียวกันไม่มีผลิตภัณฑ์ใหม่จาก Apple เข้ามาสู่ตลาด โดยเพิ่งจะมีไอโฟน 5S และ 5C เข้าสู่ตลาดช่วงปลายปี ทั้งนี้ 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทฯมีรายได้ 1,702 ล้านบาท กำไรสุทธิ 10.40 ล้านบาท

* OCEAN เคาะราคาขาย 0.90 บาท /หุ้น เปิดจอง 16-18 ธ.ค. นี้

              นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จํากัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN เปิดเผยว่า บริษัทฯได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 0.90 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะเปิดจองซื้อในวันที่ 16-18 ธ.ค.นี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ วันที่ 23 ธ.ค. โดยการเสนอขายหุ้นครั้งนี้มีจำนวน 100 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.25 บาทต่อหุ้น
              ทั้งนี้บริษัทฯ มั่นใจว่าหุ้นของ OCEAN จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากผู้บริหารมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้มา 27 ปี และสินค้ามีคุณภาพ และการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้ก็ถือว่าเหมาะสม มี P/E เพียง 10 เท่า และจากที่บริษัทฯได้ไปนำเสนอข้อมูลกับนักลงทุน (โรดโชว์) ก็ได้รับการตอบรับที่ดีและเชื่อว่าบรรยากาศทางการเมืองในขณะนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการจองซื้อและการเข้าเทรดของหุ้น OCEAN เพราะนักลงทุนก็คุ้นเคยกับสถานการณ์ทางการเมือง เชื่อว่านักลงทุนไม่น่าจะมีการชะลอการลงทุน ประกอบกับเงินที่ได้จากการเสนอขาย IPO ครั้งนี้จำนวน 90 ล้านบาท โดยบริษัทฯจะนำไปใช้ในการขยายโรงงานจำนวน 30-40 ล้านบาท และที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทำให้บริษัทฯมีศักยภาพในการขยายธุรกิจเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต ทำให้บริษัทฯมีการเติบโตเพิ่มขึ้น
              สำหรับการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ยังมีบริษัทหลักทรัพย์ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายจำนวน 4 แห่ง ประกอบด้วย บล.ฟินันเซีย ไซรัส บล.เคจีไอ บล.เออีซี และบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)

* คาดรายได้ปี 56 โตไม่ต่ำกว่า 20%

              ด้านนายอุชัย วิไลเลิศโภคา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCM เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่ารายได้ปี 2556 จะเติบโตประมาณ 20% จากปี 2555 ที่มีรายได้ 258 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการใช้ก๊อกน้ำยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต้องใช้ ประกอบกับภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ยังมีการเติบโตที่ดี ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 4 จะออกมาดี โดยสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 56 บริษัทฯมีรายได้อยู่ที่ 215 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 12.72 ล้านบาท
              ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่าอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) ปี 56 จะอยู่ที่ 10% จาก 9 เดือนแรกทำได้แล้ว 7% โดยสาเหตุที่ Net Marginเพิ่มขึ้นมาจากบริษัทฯมีการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น โดยลดในส่วนของกิจกรรมส่งเสริมการตลาดให้น้อยลง
              สำหรับแนวโน้มรายได้ในปี 2557 บริษัทฯคาดว่าจะรักษาอัตราการเติบโตให้อยู่ที่ 20% จากปี 2556 จากที่บริษัทฯมีแผนจะขยายการขายสินค้าไปตามร้านโมเดิร์นเทรดต่างๆให้มากขึ้น บริษัทฯก็มีแผนที่จะขยายไปต่างประเทศมากขึ้นเช่นกัน จากปัจจุบันมีจำหน่ายที่จีน ลาว เวียดนาม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาจะนำไปขายที่ต่างประเทศหลายแห่ง โดยปัจจุบันบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพียง 5% เท่านั้น
              "สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ บริษัทฯไม่มีความกังวลว่าจะกระทบกับการเสนอขายหุ้นของบริษัทฯในครั้งนี้ เพราะมองว่านักลงทุนไทยได้มีการผ่านสถานการณ์แบบนี้มาหลายครั้งมีความเข้าใจ เหตุการณ์ทางการเมืองว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น ส่วนเศรษฐกิจไทยในปีหน้ามีการคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตเพียง 2.7% ก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทฯ โดยยืนยันว่ารายได้ปี 57 ก็น่าจะรักษาการเติบโตของรายได้เฉลี่ยอยู่ได้ 20% ได้ เพราะว่าเติบโตตามธุรกิจอสังหาฯและก๊อกน้ำเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการ ใช้ในชีวิตประจำวัน" นายอุชัย กล่าว

* เซียนหุ้นชี้การเมืองยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของไอพีโอปี 57

              นาย รณกฤต สารินวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาด IPOจะมีทิศทางเป็นอย่างไรนั้นเบื้องต้นจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมือง เป็นหลัก ซึ่งหากปัญหาทางการเมืองสามารถคลี่คลายลงหรือสามารถหาข้อตกลงกันระหว่างฝ่าย รัฐบาลและฝ่ายที่คัดค้านก็ประเมินว่าจะสามารถทำให้ดัชนีฯตลาดหุ้นไทยปรับตัว เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งก็จะเป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะเสนอขายหุ้นใหม่ให้กับประชาชนในขณะเดียวกัน หากปัญหายังคงยืดเยื้อกันอย่างต่อเนื่องก็จะส่งผลกระทบให้จำเป็นที่จะต้อง เลื่อนการเสนอขายหุ้นใหม่ให้กับประชาชนออกไปจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ สภาวะปกติ
              " สำหรับตลาด IPO ปีหน้านั้นคาดว่าหากปัจจัยทางการเมืองกระทบจิตวิทยาการลงทุนอยู่ก็อาจจะส่งผลให้ IPO จะไม่ค่อยดีเท่าที่ควรซึ่งจะต้องรอดูความชัดเจนของสถาณการณ์หากคลี่คลายลงๆได้ก็จะดีแต่หากยังคงจะต้องเลื่อนออกไปก่อน"นาย รณกฤต กล่าว

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.