หลังจากภาคส่งออกไทยเริ่มประสบปัญหาอย่างหนักจากตลาดคู่ค้าที่สำคัญอย่าง สหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง เผชิญปัญหาเศรษฐกิจซบเซาจนผู้บริโภคแต่ละประเทศต้องหันมาประหยัดรายจ่าย ทำให้ภาครัฐและเอกชนไทยจำเป็นต้องหามาตรการต่าง ๆ ร่วมกันเพื่อทดแทนรายได้ที่หดหายไป ทั้งนี้การหาตลาดใหม่คือ คำตอบแรก ๆ ที่ภาครัฐได้ดำเนินการมาต่อเนื่อง เพราะหลายประเทศที่กำลังพัฒนาเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้นหลังจากที่นักลงทุนทยอยเข้ามาตั้งโรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่ผ่านสงครามมาใหม่ ๆ เนื่องจากยังไม่ค่อยมีคู่แข่งทางการค้ามากนัก
“ปากีสถาน” คือหนึ่งในเป้าหมายของรัฐบาลไทยที่เห็นความสำคัญตลาดนี้ ถึงขนาดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องนำทีม ครม.เศรษฐกิจ และเอกชนรายใหญ่ ๆ ของไทยไปร่วมเจรจาการค้า การลงทุน เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากกว่าที่เป็นอยู่
แม้ว่าจะเป็นตลาดที่ค่อนข้างมีศักยภาพสูงและเป็นตลาดที่ใหญ่โดยมีประชากร 200 ล้านคน แต่ปัญหาติดอยู่คือ ปากีสถานเป็นประเทศที่อยู่ในภาวะสงครามมานานและปัจจุบันก็ยังไม่สงบมากนัก ดังนั้นการลุยตลาดนี้ต้องอยู่ที่ความกล้าเพื่อรอความหวังในอนาคต เห็นได้จากที่นายกรัฐมนตรีและเอกชนไทยไปเจรจาการค้า การลงทุน ก็ยังมีตำรวจคอมมานโด หน่วยต่อต้านการก่อการร้าย ถืออาวุธครบมือ 40-50 นาย มาช่วยอารักขาความปลอดภัยล้อมรอบโรงแรมในกรุงอิสลามาบัด
อย่างไรก็ตามแม้ปากีสถานจะประสบปัญหาสงครามในประเทศมายาวนาน แต่การค้าระหว่าง 2 ประเทศในแต่ละปีมีมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 7% ต่อปี โดยไทยส่งออก 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปากีสถานส่งออก 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นหากผู้ประกอบการไทยและรัฐบาลกล้าลุยจริง ๆ เชื่อว่าในอนาคตการค้าของทั้ง 2 ประเทศคงพุ่งขึ้นกว่านี้หลายเท่าตัว เพราะปากีสถานเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีทรัพยากรธรรมชาติที่จะทำเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าคุณภาพสูง และที่สำคัญเป็นประเทศที่สามารถกระจายสินค้าไปยังประเทศเอเชียกลาง เช่น คาซัคสถาน, เติร์กเมนิสถาน, อุซเบกิสถาน, คีร์กีซสถาน, ทาจิกิสถาน เป็นต้น ที่มีประชากร 300 ล้านคนได้ด้วย
“ยรรยง พวงราช” รมช. พาณิชย์ ระบุว่า ในอนาคตประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการเจรจาจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) มากขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถส่งออกได้ง่าย โดยเฉพาะในประเทศปากีสถาน ที่ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยประสบปัญหาเรื่องภาษีนำเข้าที่สูงมากโดยอยู่ในระดับ 30-50% ขณะที่อินเดียกับจีน ที่ทำเอฟทีเอกับปากีสถานแล้วเสียภาษีในอัตราต่ำจึงสามารถดัมพ์ราคาสินค้าไทยได้ ดังนั้นหากไทยสามารถทำเอฟทีเอกับปากีสถานได้ก็จะทำให้ไทยต้องเสียภาษีนำเข้า 0-5%
อย่างไรก็ตามหลังจากที่นายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีปากีสถานได้หารือเจรจาทางการค้าด้วยกันแล้ว ทำให้ทั้ง 2 ประเทศมีข้อตกลงในการเพิ่มมูลค่าทางการค้าด้วยกันรวมถึงการส่งเสริมการเจรจาเอฟทีเอ เพื่อเปิดทางให้ผู้ประกอบการทั้ง 2 ฝ่ายมีความสะดวกขึ้น โดยทั้งได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการวางเป้าหมายเพิ่มมูลค่าทางการค้าระหว่างกันให้เพิ่มขึ้นอีก 1 เท่า จากที่ปัจจุบันมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับปากีสถานอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มเป็นประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในระยะเวลาอีก 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 61
ขณะเดียวกันคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-ปากีสถานได้เห็นด้วยกับการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่าง ไทย-ปากีสถาน โดยเบื้องต้นจะนำร่องใน 7 สาขา ได้แก่ 1. สาขาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ 2. สาขาการแปรรูปอาหารและอาหารฮาลาล 3. สาขาประมง 4. สาขาชิ้นส่วนยานยนต์ 5. สาขาพลังงาน 6. สาขาการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และ 7. สาขาการพัฒนาการจำหน่ายและแปรรูปอัญมณี
โดยเฉพาะเรื่องเครื่องประดับและอัญมณี ที่ภาคเอกชนทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันในการผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองศูนย์กลางทับทิมโลก เนื่องจากไทยมีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ รวมถึงมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญในการแปรรูปอัญมณีที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก ขณะที่ปากีสถานมีศักยภาพ ด้านแหล่งวัตถุดิบที่สามารถป้อนให้อุตสาหกรรมในไทยได้อย่างพอเพียง
หากผลักดันได้จะแก้ปัญหาไทยที่ปัจจุบันได้ขาดแคลนวัตถุดิบอย่างมาก จึงต้องออกไปหาแหล่งแร่ต่าง ๆ ทั่วโลก และเมื่อปากีสถานมีแหล่งที่มีคุณภาพมาก ๆ โดยเฉพาะในเมืองแปซาวา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งในกลุ่มพลอยเนื้อแข็ง และพลอยเนื้ออ่อน เช่น ทับทิม แซฟไฟร์ มรกต โกเมน ควอตซ์ เป็นต้น หากมีการลงทุนร่วมกันปากีสถานก็สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแร่ ส่วนไทยก็สามารถพัฒนาวงการเครื่องประดับฯ แบบครบวงจรได้
“ลีนา พงษ์พฤกษา” รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่าปัจจุบันไทยส่งออกสินค้ามายังปากีสถานหลายชนิดได้แก่ รถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี เครื่องจักร รวมถึงสินค้าอุปโภคและบริโภค เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ไทยนำเข้าจากปากีสถานในปัจจุบัน ได้แก่ พรม ปลาสดแช่แข็ง เส้นด้าย และผ้าฝ้าย
ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาพบว่ามีบริษัทไทยที่เข้าไปลงทุนในปากีสถานแล้วหลายบริษัท เช่น บริษัท สยามซีเมนต์ บริษัท ไทยยูรีเทน เคมีคัล อินดัสเตรียล ส่วนบริษัทที่ศึกษาลู่ทางการดำเนินธุรกิจในปากีสถาน เช่น ซีพีฟู๊ด บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ ส่วนนักลงทุนปากีสถานที่เข้ามาลงทุนในไทยโดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอมีเพียง 4 ราย ในสาขาการผลิตเส้นใยประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ และ พรม มีเงินลงทุน 182 ล้านบาท
การทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนอกจากจะมีการศึกษาลู่ทางการลงทุนและลู่ทางตลาดที่รอบคอบแล้ว การวัดใจก็ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่เพราะหากปักธงได้เชื่อว่าในอนาคตตลาดเหล่านี้จะเป็นฐานสำคัญที่จะสร้างรายได้.