ในขณะที่บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่แห่เข้าสู่เมียนมาร์หลังจากชาติตะวันตกระงับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ เวลานี้กลายเป็นผู้ผลิตท้องถิ่นของเมียนมาร์เองที่กำลังตกที่นั่งลำบากเมื่อต้องเผชิญกับการแข่งขันที่หนักหน่วงจากบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้
นายไซ ซัม ทุน ประธานบริษัท ลอยเฮียน (Loi Hein) กรุ๊ป หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ของเมียนมาร์ กล่าวว่า "มันยากลำบากสำหรับเรามาก เมื่อบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่เข้ามาที่นี่ พวกเขาเข้ามาครอบครองตลาดได้อย่างง่ายดายในเวลาอันสั้น เพราะพวกเขาแข็งแกร่งมาก "แบรนด์สตาร์โคล่าของลอยเฮียนเคยเป็นผู้นำในตลาดน้ำโคล่าของเมียนมาร์ แต่เวลานี้ถูกคู่แข่งรายใหญ่จากต่างชาติทั้ง 2 แบรนด์ คือ โคคา-โคล่า และเป๊ปซี่ ทำส่วนแบ่งตลาดแซงขึ้นมา
ชาวเมียนมาร์มีโอกาสเข้าถึงแบรนด์จากสหรัฐอเมริกา หลังจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถเข้ามาทำตลาดในเมียนมาร์ได้เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตร โดยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หนึ่งปีหลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกการคว่ำบาตรส่วนใหญ่กับเมียนมาร์ โคคา-โคล่าก้าวเข้าสู่ตลาดเมียนมาร์ด้วยการร่วมทุนกับบริษัทบรรจุขวดท้องถิ่น พินยา แมนูแฟคเจอริ่ง พร้อมกับประกาศแผนลงทุนสร้างโรงงานในเมียนมาร์เป็นมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลจากผู้ประกอบการท้องถิ่นว่าบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่จะอาศัยฐานการผลิตในระดับภูมิภาคที่มีอยู่แล้วในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตของหลายบริษัทสำหรับป้อนตลาดทั้ง 2 แห่งคือไทยและเมียนมาร์ ในการเอาชนะคู่แข่งท้องถิ่นได้อย่างง่ายดาย
มีความกังวลจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางว่าจะสู้ต้นทุนไม่ไหว หลังจากที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองเศรษฐกิจสำคัญอย่างย่างกุ้งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อมูลจากบริษัทวิจัย ชีปิโอระบุว่า ค่าเช่าอาคารสำนักงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นประมาณ 80% จาก 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1,500 บาท) ต่อตารางเมตรเมื่อกลางปี 2554 เป็น 90 ดอลลาร์สหรัฐฯ (2,700 บาท) ต่อตารางเมตร โดยพื้นที่เชิงพาณิชย์เกรดเอมีราคาเทียบเท่ากับในสิงคโปร์ เนื่องจากซัพพลายที่มีอยู่จำกัด
ขณะเดียวกัน บริษัทท้องถิ่นบางรายก็ได้รับประโยชน์จากการเข้ามาของบริษัทต่างชาติ ที่ต้องการความรู้เกี่ยวกับช่องทางการทำธุรกิจในเมียนมาร์ ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการเจาะตลาดเมียนมาร์คือการจับมือเป็นหุ้นส่วนกับผู้ประกอบการในท้องถิ่น