นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ภายใต้หัวข้อ มุมมองต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในปัจจุบัน พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ประเมินภาพรวมขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในปัจจุจัยเฉลี่ยทั้ง 9 ด้าน อยู่ใน ระดับปานกลาง
ทั้งนี้ ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่มีความเปราะบาง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ทำให้ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัวรับมือกับการดำเนินธุรกิจ ภายใต้ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม อาทิ กฎระเบียบที่ล้าสมัยและไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ปัญหาผลิตภาพแรงงานและการขาดแคลนแรงงาน ข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรม กฎระเบียบทางการค้าที่เป็นอุปสรรค การทุ่มตลาดสินค้า ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ตลอดจนสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงได้รับแรงกดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือน
อย่างไรก็ดี จากปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมทั้งระบบภายใน 1 ปี โดยเฉพาะการดูแลปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนการผลิตทั้งระบบให้เอกชนสามารถแข่งขันได้ มีการปฏิรูปกฎหมายกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจ หรือ Ease of Doing Business
รวมทั้งการพัฒนาระบบและมาตรการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันในหน่วยงานที่มีหน้าที่อนุมัติอนุญาต ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญที่ฉุดรั้งขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีการพัฒนาองค์กรอยู่ตลอดเวลา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ทั้งการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยในการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพ
การให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นเทรนด์โลก การยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานและพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการตลาด มีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมทั้งการพัฒนาและยกระดับฝีมือแรงงาน (Upskill, Reskill, New skill) เป็นต้น
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 250 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 39 จำนวน 3 คำถาม ดังนี้
1.ขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับใด หัวข้อประเมินขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม/คะแนน
ความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) และการปฏิบัติตามกฎหมาย 3.05
ต้นทุนการผลิตและการประกอบการ เช่น วัตถุดิบ พลังงาน ค่าแรง การเงิน โลจิสติกส์ ฯลฯ 2.88
ผลิตภาพแรงงาน (Labour Productivity) และกำลังคนรองรับความต้องการของอุตสาหกรรม 2.96
ความพร้อมด้านการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และส่งเสริม R&D 2.98
การส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนภายในประเทศ ทั้ง FDI, TDI และ SMEs 3.07
การค้า การส่งออก และศักยภาพการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ 3.00
ความสามารถในการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และNet Zero 2.95
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรองรับภาคอุตสาหกรรม เช่น Logistic, Digital ฯลฯ 3.22
ศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ เช่น GDP เงินเฟ้อ นโยบายรัฐ ฯลฯ 2.90
เฉลี่ยรวม 9 หัวข้อ 3.00
2.ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางการปรับตัวอย่างไร เพื่อให้สามารถแข่งขันทางธุรกิจได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน (Multiple choices)
นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม 82.8%
ยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน และพัฒนาสินค้าบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการตลาด 72.4%
พัฒนาและยกระดับฝีมือแรงงาน (Upskill, Reskill, New skill) 62.0%
ปรับกลยุทธ์ทางการตลาด พัฒนาแบรนด์สินค้า ขยายตลาดต่างประเทศและสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการดำเนินธุรกิจ 57.2%
ปรับโครงสร้างองค์กรและกระบวนการทำงานในองค์กร เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 56.0%
ภาคอุตสาหกรรมคาดหวังให้ภาครัฐเร่งดำเนินการเรื่องใดภายใน 1 ปี เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย (Multiple choices)
ดูแลปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนการผลิตทั้งระบบ เช่น ราคาพลังงาน ราคาวัตถุดิบ โลจิสติกส์ ฯลฯ 78.8%
ปฏิรูปกฎหมายกฎระเบียบ เพื่อส่งเสริม Ease of Doing Business และการเติบโตทางเศรษฐกิจ 67.2%
พัฒนาระบบและมาตรการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันในหน่วยงานที่มีหน้าที่อนุมัติอนุญาต 62.4%
ส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการพัฒนาสินค้าบริการ และกระบวนการผลิตรวมทั้งจูงใจให้เกิดการลงทุนด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย 61.2%
ส่งเสริมการยกระดับผลิตภาพแรงงาน และพัฒนากำลังคน รองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม 58.0%