ทาทา สตีลฯ
โอดจีนลดค่าเงินหยวนยิ่งทำให้เหล็กจากจีนทะลักเข้ามาไทยมากขึ้น
และยังส่งผลต่อราคาด้วยทำให้ผู้ใช้หันไปใช้เหล็กนำเข้าที่มีราคาถูกแทน
วอนรัฐเร่งเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
และออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดจากเหล็กนำเข้าจีน มั่นใจทั้งปีพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ
นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่า
ตามที่บริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณการขายปีนี้ที่ 1.25 ล้านตัน
หรือโตขึ้น 12% จากปีก่อน คงเป็นไปได้ยาก
หลังจีนประกาศลดค่าเงินหยวนทำให้การส่งออกเหล็กจากจีนเพิ่มมากขึ้น
สร้างความกังวลต่อผู้ผลิตเหล็กทั่วโลก
โดยเฉพาะภูมิภาคนี้ที่พบว่ามีปริมาณเหล็กจากจีนทะลักเข้ามามากที่สุด
และยังส่งผลต่อราคาเหล็กในประเทศและภูมิภาคนี้ด้วย
ทั้งนี้
เหล็กลวดคาร์บอนต่ำเจือโบรอนจากจีนที่ทะลักเข้าไทยมีราคาต่ำมากตันละ 1.2 หมื่นบาท ขณะที่ราคาขายเหล็กลวดคาร์บอนต่ำของทาทาสตีลฯ อยู่ที่ 1.5 หมื่นบาท/ตัน ต่างกันถึง 3 พันบาท/ตัน
ทำให้ผู้ใช้เหล็กในประเทศหันไปใช้เหล็กนำเข้าแทน
ทำให้ผู้ผลิตเหล็กในประเทศต้องลดปริมาณการผลิตเหล็กลงอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งราคาเหล็กบริษัทฯ แข่งสู้กับจีนไม่ได้ ไม่ใช่เกิดจากความไร้ประสิทธิภาพในการผลิต
แต่มาจากรัฐบาลจีนอุดหนุนการส่งออก 9%
และยังไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า 5%
รวมแล้วเหล็กนำเข้าจากจีนได้รับการอุดหนุนถึง 14%
ส่วนกรณีที่บีโอไอได้อนุมัติในหลักการให้เก็บเซอร์ชาร์จสินค้าเหล็กลวดคาร์บอนต่ำที่นำเข้า
แต่ผู้ใช้เหล็กในประเทศกดดันให้มีการทบทวนในเรื่องนี้นั้น นายราจีฟกล่าวว่า
บีโอไอได้อนุมัติในหลักการแต่ยังไม่มีการบังคับใช้จริง
เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้เหล็กในประเทศคัดค้านเรื่องดังกล่าว
ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าเหล็กจากจีนเพิ่มขึ้น
แต่การขายเหล็กลวดคาร์บอนต่ำของทาทาสตีลฯ กลับลดลงเรื่อยๆ จากเดิมผลิตไตรมาสละ 5 หมื่นตัน ปัจจุบันเหลือเพียง 2 หมื่นตันเท่านั้น
หากรัฐไม่เร่งออกมาตรการช่วยเหลือ
เชื่อว่าผู้ผลิตเหล็กก็คงอยู่ไม่ได้สุดท้ายต้องปิดไป ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ
ได้หยุดผลิตเหล็กเกรดพิเศษที่ใช้ทำเพลาไปเมื่อ 2
เดือนที่แล้ว
ดังนั้น บริษัทฯ
ขอให้ภาครัฐเร่งผลักดันก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานตามแผนงานที่วางไว้เพื่อกระตุ้นการใช้ปูนและเหล็กภายในประเทศ
รวมทั้งต้องการให้กระทรวงพาณิชย์เร่งประกาศมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดฯ
จากจีน หลังจากได้ดำเนินการไต่สวนไปก่อนหน้านี้แล้ว รวมทั้งควบคุมไม่ให้สินค้าเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานเข้าสู่ตลาด
ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินได้
“ในปีนี้ความต้องการใช้เหล็กในไทยโตขึ้น
1-2% แต่ผู้ผลิตเหล็กในประเทศไม่ได้อานิสงส์
จะเห็นได้จากยอดการผลิตเหล็กของโรงงานไทยปรับตัวลดลง
แต่การนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศกลับเพิ่มสูงขึ้นแทน
โดยปัจจุบันไทยมีความต้องการใช้เหล็กปีละ 18 ล้านตัน
แต่เป็นการนำเข้าถึง 70% ของความต้องการใช้”
นายราจีฟกล่าวถึงผลการดำเนินงานงวดบัญชีปี
2558/2559
(เม.ย. 58-มี.ค. 59) ว่า
บริษัทฯ คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ ดีขึ้นเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ
610 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ
มีการลดต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายต่างๆ
รวมทั้งเน้นผลิตสินค้าเหล็กมูลค่าเพิ่มมากขึ้นและเพิ่มปริมาณการส่งออกเหล็กชดเชยตลาดในประเทศที่หดตัวลง
ทำให้ส่วนต่างราคาเหล็กกับวัตถุดิบ (สเปรด) อยู่ในระดับ 7,700 บาท/ตัน แม้ว่าราคาและปริมาณขายจะลดลงก็ตาม โดยไตรมาส 1 งบปี 2559 (เม.ย.-มิ.ย. 58) มีกำไรสุทธิ
11 ล้านบาท และแนวโน้มไตรมาส 2
นี้จะยังมีกำไรสุทธิ
“ไตรมาส 2 นี้บริษัทฯ
จะส่งออกเหล็กป้อนโครงการเขื่อนไชยะบุรี ในลาว ประมาณ 3 หมื่นตัน
เริ่ม ส.ค.-ธ.ค. 58 นี้ ทำให้สัดส่วนส่งออกปีนี้เพิ่มเป็น 10-12%
จากปีก่อน 7% ขณะเดียวกันบริษัทหันมาขยายตลาดส่งออกด้วย
โดยจะส่งออกไปยังออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เพิ่มเติมจากเดิมส่งออกไปลาว กัมพูชา
อินโดนีเซีย พม่า และอินเดีย”