สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ญี่ปุ่นลงทุนทั่วโลกหดตัว13%ในปี 57สัญญาณความท้าทายจากค่าเยนอ่อน
18/02/2015
ข่าวเศรษฐกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิเคราะห์"ญี่ปุ่นลงทุนทั่วโลกหดตัว 13% ในปี 2557: สัญญาณความท้าทายต่อผู้รับการลงทุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า "

http://www.thanonline.com/images/stories/article2015/3027/jjjj265.jpg
ประเด็นสำคัญ
• มูลค่าเงินลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (ODI) ของญี่ปุ่นในปี 2557 ลดลงร้อยละ 12.5 อันเป็นผลกระทบส่วนใหญ่จากเงินเยนที่อ่อนค่า โดย ODI มาอาเซียนและไทยหดตัวร้อยละ 13.9 และร้อยละ 49.3 ตามลำดับ สาเหตุหลักมาจากฐานของปี 2556 ที่สูงจากเม็ดเงินลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์
• ในปัจจุบัน อัตราค่าแรงของไทยที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านและผลิต ภาพแรงงานที่ขยายตัวช้า อาจส่งผลกดดันต่อ ODI ใหม่จากญี่ปุ่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมและสารสนเทศ และอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ซึ่งมีวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์สั้น ประกอบกับความคุ้มค่าแรงงานในประเทศญี่ปุ่นที่สูงขึ้นจากค่าเงินเยนที่อ่อน
• อย่างไรก็ดี ในระยะยาว ความคุ้มค่าแรงงานญี่ปุ่นจะขึ้นอยู่กับโจทย์การปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมซึ่ง ยังคงท้าทายรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งประเทศไทยไม่ควรนิ่งนอนใจ และควรเร่งพัฒนาผลิตภาพ รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันของประเทศและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่าง ประเทศอย่างยั่งยืน

การเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีช่วงวันที่ 8-10 กพ. 2558 จะช่วยเสริมภาพความสัมพันธ์ระหว่างไทยและญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ภายหลังจากที่เม็ดเงินลงทุนโดยตรงในต่างประเทศจากญี่ปุ่น (Outward Direct Investment: ODI) มายังไทยในปี 2557 หดตัวร้อยละ 49.3 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับภาพรวม ODI ของญี่ปุ่นไปยังภูมิภาคต่างๆของโลก ที่หดตัวลงกว่าร้อยละ12.5 ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา เริ่มมีข่าวเกี่ยวกับบริษัทญี่ปุ่นบางรายที่ริเริ่มนโยบาย “Made in Japan” อีกครั้งด้วยการย้ายฐานการผลิตสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E) จากสหรัฐฯและจีน กลับไปผลิตและประกอบในญี่ปุ่นแทน จึงอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ความท้าทายต่อเม็ดเงินลงทุนใหม่ของญี่ปุ่นในต่าง ประเทศ รวมถึงไทย ภายใต้สถานการณ์การอ่อนค่าของเงินเยนอย่างต่อเนื่อง

ODI จากญี่ปุ่นในภาพรวมหดตัวต่อเนื่องจากปี 2556...ไทยยังเป็นผู้รับการลงทุนอันดับ 5 ของโลก
    
รายงานเบื้องต้นล่าสุดขององค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2558 เปิดเผยว่า ODI ของญี่ปุ่นไปยังภูมิภาคต่างๆ ของโลกในปี 2557 อยู่ที่ราว 118,181 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัวกว่าร้อยละ 12.5 โดย ODI ไปยังสหรัฐฯและจีน  ซึ่งเป็นจุดหมายการลงทุนที่สำคัญของญี่ปุ่นในอดีต หดตัวร้อยละ 4.8 และ 26.4 ตามลำดับ ทั้งนี้ การหดตัวดังกล่าวคงมีสาเหตุหลักมาจากการอ่อนค่าของเงินเยนเมื่อเทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐฯและหยวน ประกอบกับการปรับตัวสูงขึ้นของค่าแรงในจีน รวมถึงข้อพิพาททางการเมืองในภูมิภาคอีกทางหนึ่งด้วย
     
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในมิติของอาเซียน พบว่า เม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่นในปี 2557 หดตัวกว่าร้อยละ 13.9 โดยคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนในภูมิภาคกว่า 20,345 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี สาเหตุหลักของการลดลงมาจากฐานของปี 2556 ที่สูง จากเม็ดเงินลงทุนโดยตรงของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นผ่านการควบ รวมกิจการ ทั้งในประเทศไทย อินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งมีมูลค่าธุรกรรมรวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเอเชียในหมวดอุตสาหกรรมการ เงินการธนาคาร
    
อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบกับปี 2555 พบว่า เม็ดเงินลงทุนในอาเซียนปี 2557 มีมูลค่าสูงกว่าปี 2555 ซึ่งอยู่ที่ 10,675 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึงร้อยละ 90.6  โดยสิงคโปร์และไทยยังคงเป็นจุดหมายหลักของนักลงทุนญี่ปุ่น ตอกย้ำความสำคัญของภูมิภาคอาเซียนในยุทธศาสตร์การลงทุนของญี่ปุ่นในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภูมิภาคอาเซียนเป็นฐานการผลิตสินค้าขั้นปลายเพื่อส่งออก ไปยังประเทศที่สามและในภูมิภาคอาเซียนด้วยกันเอง รวมทั้งใช้เป็นฐานการผลิตสินค้าขั้นกลางเพื่อส่งกลับไปประกอบที่ญี่ปุ่นใน รูปแบบของห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้รับการลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นอันดับที่ 5 ของโลกนั้น ถือเป็นประเทศยุทธศาสตร์ของนักลงทุนญี่ปุ่นภายใต้นโยบาย “Thailand Plus One” ที่ตั้งเป้าให้ประเทศเพื่อนบ้านของไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิต โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และส่วนประกอบ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมเคมีและเภสัชภัณฑ์

ค่าเงินเยนที่อ่อน ยังไม่ส่งผลกระทบต่อ ODI ของญี่ปุ่นมายังไทย ทว่า...ต้องจับตาประเด็นค่าแรงที่สูงและผลิตภาพแรงงานที่ขยายตัวช้า ซึ่งอาจกดดันเม็ดเงินลงทุนใหม่ในระยะยาว
        
•  เงินเยนที่อ่อนค่าเป็นปัจจัยบวกเฉพาะหน้าต่อความสามารถทางการแข่งขันของญี่ปุ่น
    
    
นับตั้งแต่ธนาคารกลางญี่ปุ่นดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มฐาน เงินภายในประเทศ (QQE) ตามนโยบายลูกธนูสามดอกของนายกรัฐมนตรีอาเบะนั้น  เงินเยนได้อ่อนค่าไปแล้วกว่าร้อยละ 36 จาก 87 เยนต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงต้นปี 2556 มาอยู่ที่ราว 119 เยนต่อดอลลาร์ฯ เมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ. 2558 ส่งผลให้การส่งออกของญี่ปุ่นมีการขยายตัวอย่างมาก โดยล่าสุดในเดือน ธ.ค. 2557 มูลค่าการส่งออกขยายตัวกว่าร้อยละ 12.9 (YoY) มาอยู่ที่ 6.9 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นมูลค่าส่งออกที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2551 ส่งผลให้ทั้งปี 2557 การส่งออกของญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 4.8 มาอยู่ที่ 73.1 ล้านล้านเยน ทั้งนี้ ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่อย่างเกาหลีใต้ รวมไปถึงประเทศที่เป็นฐานการผลิตของบริษัทญี่ปุ่นเอง ได้แก่ จีน สะท้อนจากดัชนีอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง (REER)  ของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ในญี่ปุ่นที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเกาหลีใต้และจีน และอาจเป็นสาเหตุสำคัญของการย้ายฐานการผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์บางส่วนกลับญี่ปุ่นตามที่เป็นข่าวไปก่อนหน้า
    
นอกจากนี้ หากพิจารณาปัจจัยความคุ้มค่าของแรงงานญี่ปุ่น (Cost effectiveness) จากการเปรียบเทียบผลิตภาพแรงงานกับอัตราค่าแรงเฉลี่ยต่อชั่วโมงในรูปสกุล เงินดอลลาร์ฯ พบว่า ความคุ้มค่าของแรงงานญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2556 โดยมาจากผลของค่าเงินเป็นสำคัญ และที่สำคัญยังเป็นการเพิ่มขึ้นสวนทางกับความคุ้มค่าของแรงงานไทยที่มีแนว โน้มเสื่อมถอยลง  จากการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าแรงเฉลี่ยของไทย ซึ่งในปัจจุบันมีอัตราค่าแรงขั้นต่ำสูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ อินโดนีเซีย หรือเวียดนาม รวมไปถึงเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน  
    
ทั้งนี้ จากประเด็นที่ส่วนต่างความคุ้มค่าของแรงงานระหว่างไทยกับญี่ปุ่นที่มีแนว โน้มปรับตัวแคบลงเรื่อยๆ จากการอ่อนค่าของเงินเยนนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า หากเงินเยนอ่อนค่าลงจนถึงระดับ 145 เยน/ดอลลาร์ จะทำให้ส่วนต่างความคุ้มค่าของแรงงานญี่ปุ่นและไทยหมดสิ้นไป (สมมติให้ผลิตภาพแรงงานทั้ง 2 ประเทศและค่าเงินบาทคงที่) อย่างไรก็ดี แม้ว่าปัจจัยเรื่องต้นทุนแรงงานจะมีความสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลง ทุนต่างชาติ ทว่า ปัจจัยเสริมอื่นๆ อาทิ ห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจร ก็มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนเช่นเดียวกัน ดังนั้น ณ เงินเยนที่ระดับใกล้เคียงกับปัจจุบัน ไทยยังน่าจะคงความเป็นจุดหมายหลักของการลงทุนจากญี่ปุ่น และผลทางด้านราคาจากการอ่อนค่าของเงินเยนดังกล่าว คงไม่กระทบปริมาณเม็ดเงิน ODI จากญี่ปุ่นที่มายังไทยในระยะข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

• การเพิ่มผลิตภาพแรงงานญี่ปุ่นในระยะยาวเป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ต้องจับตา
    
    แม้ค่าเงินเยนที่อ่อนตัวดูเหมือนจะยังไม่มีผลต่อกระแส ODI จากญี่ปุ่นมายังไทยในระยะข้างหน้า ทว่า ความพยายามของทางการญี่ปุ่นในการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเพิ่มผลิตภาพของแรงงานในภาคการผลิต อันถือเป็นลูกธนูดอกที่สามภายใต้แนวทางของ Abenomics นั้น หากสำเร็จ จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ที่คงมีผลกระทบต่อการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยได้ จากความคุ้มค่าของแรงงานที่เพิ่มขึ้น ตามผลิตภาพที่ปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาว
    
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน เศรษฐกิจญี่ปุ่นเผชิญกับปัญหาผลิตภาพของแรงงานในภาคการผลิตที่หดตัวอย่างต่อ เนื่อง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างเข้มข้น อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนประกอบ รวมถึงภาคการเกษตร ขณะที่ อีกส่วนหนึ่งคงมาจากโครงสร้างการจ้างงานของบริษัทญี่ปุ่นที่มีความยืดหยุ่น ต่ำ อาทิ การสร้างทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กรผ่านการจ้างงานตลอดชีพ (Internal growth) ซึ่งไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่เติบโตค่อนข้างต่ำในปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งค่านิยมในการจ้างพนักงานเพศชายตามการแบ่งงานกันทำตามเพศ ท่ามกลางภาวะสังคมสูงวัยสุดยอด ของญี่ปุ่น  ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้ภาคธุรกิจญี่ปุ่นมีความสามารถในการปรับตัวค่อนข้างต่ำ และไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ซึ่งแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างเชิงเศรษฐกิจและสังคม ไม่ว่าจะเป็นการลดข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ การเพิ่มความยืดหยุ่นให้ระบบการจ้างงาน การเพิ่มการมีส่วนร่วมในระบบแรงงานของเพศหญิง การเพิ่มผลิตภาพแรงงานและทุน รวมถึงการสนับสนุนนโยบายการค้าเสรี เป็นต้น
    
อนึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเล็งเห็นว่า แนวทางการปฏิรูปของทางการญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยนระบบการจ้างงานที่ไม่ยืดหยุ่น ที่กดดันผลิตภาพแรงงานมาเป็นระยะเวลานาน ถือเป็นประเด็นอ่อนไหวทางสังคมที่ต้องใช้ระยะเวลานานในการเปลี่ยนแปลง และผลกระทบเชิงโครงสร้างอันเกิดการปฏิรูปภาคการผลิตของญี่ปุ่นก็คงเป็น ประเด็นจับตาในระยะยาว อย่างไรก็ดี ภายใต้สถานการณ์ที่ไทยยังคงได้รับกระแสเงินลงทุนใหม่จากญี่ปุ่นอย่างต่อ เนื่อง ถือเป็นจังหวะที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทยต้องวางแผนระยะยาวเพื่อเพิ่มผลิต ภาพให้แก่แรงงานภายในประเทศ ไม่ว่าจะผ่านนโยบายการศึกษา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตโดยเน้นใช้ทุนและเทคโนโลยีที่เข้มข้น ขึ้น เพื่อคงความน่าดึงดูดของไทยในฐานะแหล่งลงทุนที่สำคัญของญี่ปุ่นและนักลงทุน ชาติต่างๆ ทั่วโลก ก่อนที่ไทยจะสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันอย่างถาวรให้แก่กลุ่มประเทศที่ มีการพัฒนาผลิตภาพที่สูงกว่าและรวดเร็วกว่า หรือแม้กระทั่งกลุ่มประเทศที่มีความได้เปรียบเรื่องต้นทุนแรงงาน

ในระยะยาว ภาคธุรกิจไทยได้อาจได้รับผลกระทบจากการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของ ญี่ปุ่น ดังนั้น ไทยควรเร่งผลักดันขีดความสามารถทางการแข่งขันเพื่อการลงทุนที่ยั่งยืน
 
ดังที่ได้กล่าวมา แม้ว่าในระยะเฉพาะหน้า การอ่อนค่าของค่าเงินเยนอาจจะยังไม่เป็นประเด็นที่ต้องกังวล ทว่า แนวโน้มความคุ้มค่าของแรงงานไทยที่เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เงินเยนมีแนวโน้มการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความเป็นไปได้ที่แรงงานญี่ปุ่นสามารถเพิ่มผลิตภาพได้จากนโยบายการ ปฏิรูปของรัฐบาล คงทำให้ประเด็นความคุ้มค่าของแรงงานโดยเปรียบเทียบกลายเป็นความท้าทายในมิติ ของความสามารถทางการแข่งขันของไทยในระยะยาว รวมถึงความน่าดึงดูดในฐานะแหล่งลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินลงทุนโดยตรงจากญี่ปุ่น เนื่องจากไทยเองอาจไม่สามารถรักษาการเป็นฐานการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้ แรงงานที่มีทักษะสูงร่วมกับการใช้ทุน/เทคโนโลยีในระดับสูงไว้ได้ ภายใต้แนวโน้มที่อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานไร้ฝีมือเข้มข้นเริ่มย้ายฐานการ ผลิตออกจากไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนแล้ว
    
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ในกรณีที่ส่วนต่างของความคุ้มค่าของแรงงานระหว่างไทยกับญี่ปุ่นแคบลงหรือ กลายเป็นศูนย์ อาจทำให้มีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนญี่ปุ่นอาจกลับไปลงทุนในประเทศตนเอง เพิ่มมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อกระแสเงินลงทุนที่จะมายังไทย ทว่า ผลกระทบคงจะกระจุกตัวอยู่เฉพาะในบางอุตสาหกรรม กล่าวคือ อุตสาหกรรมที่ญี่ปุ่นมีกำลังการผลิตส่วนเกินในระดับสูง มีต้นทุนคงที่ต่ำ (Fixed Cost) เช่น ต้นทุนการปรับเปลี่ยนหรือทดแทนเครื่องจักร (Machine Replacement Cost) เป็นต้น รวมถึงเป็นอุตสาหกรรมที่มีห่วงโซ่การผลิตที่ค่อนข้างสั้น อาทิเช่น
• อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อาทิ กรดไขมันจากพืช พลาสติกโพลิอะซีทัล(Polyacetal) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องจักรกล หรือโพรไพลีน ไกลคอล (Propylene Glycol) ที่ช่วยทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นในสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป อาทิ สบู่เหลว แชมพู
• อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E) อาทิ นาฬิกาข้อมือที่ใช้วัดชีพจรและแคลอรี หุ่นยนต์อุตสาหกรรมและครัวเรือน
• อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมและสารสนเทศ (ICT) อาทิ อุปกรณ์นำทางรถยนต์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ โทรทัศน์จอแบน และกล้องถ่ายภาพนิ่งดิจิทัล
    
ทั้งสามอุตสาหกรรมข้างต้นล้วนแล้วแต่สัดส่วนการลงทุนจากญี่ปุ่นในไทยค่อน ข้างสูง และความสะดวกต่อการย้ายฐานการผลิต เนื่องจากเป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีวงจรชีวิตสินค้าสั้น (Short product life cycle) และมีการหมุนเวียนของสินค้าที่รวดเร็ว
    
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนประกอบ ซึ่งไทยถือเป็นแหล่งลงทุนโดยตรงที่สำคัญของญี่ปุ่นมาเป็นเวลานานหลายสิบปี ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการย้ายฐานการผลิต เนื่องจากความสัมพันธ์ทางห่วงโซ่อุปทานที่แนบแน่นระหว่างสองภูมิภาค ดังจะเห็นได้จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของดัชนีการค้าระหว่าง ประเทศที่มาจากอุตสาหกรรมเดียวกัน (Grubel-Lloyd Index: GLi) ซึ่งสัมพันธ์กับเงินทุนโดยตรงในต่างประเทศจากญี่ปุ่นสะสมสุทธิที่ขยายตัวมาก เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ตลาดรถยนต์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน (Mutual exclusive market) ส่งผลให้การย้ายฐานการผลิตบางส่วนก่อให้เกิดการไม่ประหยัดต่อขนาด (No economy of scale) เพราะรถยนต์ที่ประกอบในประเทศญี่ปุ่นจะเป็นรถยนต์ที่เน้นเทคโนโลยีระดับสูง และการออกแบบที่ล้ำสมัย อาทิ รถยนต์ไฮบริด รถยนต์นั่งสมรรถนะสูงและหรูหรา เป็นต้น ซึ่งเป็นสายการผลิตที่แตกต่างจากในไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก หรือรถกระบะ
    
กล่าวโดยสรุป แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินเยนคงไม่ส่งผลกระทบกับกระแส ODI จากญี่ปุ่นมายังไทยในระยะเฉพาะหน้า ขณะที่การเพิ่มผลิตภาพของแรงงานญี่ปุ่นภายใต้การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และสังคมนั้น ก็คงต้องใช้ระยะเวลานานและไม่มีความแน่ชัดว่าจะสำเร็จตามที่ทางการญี่ปุ่น ตั้งเป้าไว้หรือไม่ ดังนั้น ประเทศไทยควรเร่งใช้ช่วงระยะเวลานี้ในการปรับตัวเพื่อรองรับบริบทการลงทุน ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผลิตภาพการผลิตและแรงงาน การปรับใช้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนที่เอื้อต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ในระยะยาวโดยมุ่งการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ภาครัฐและภาคเอกชนควรให้ความสนใจเพื่อรักษา ความสามารถทางการแข่งขันของประเทศให้คงอยู่และเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจาก ต่างประเทศอย่างยั่งยืน

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.