ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์หรืออีไอซีออกบทวิเคราะห์"เขตเศรษฐกิจพิเศษ … Roadmap ประเทศ และโอกาสทองที่ต้องจับตาจริงหรือ? "

Highlight
อีไอซีมองว่าแม่สอด อรัญประเทศ และสะเดา คือ 3 พื้นที่นำร่องที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาและขับเคลื่อนให้เป็นเขตพัฒนา เศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone: SEZ) เนื่องจากมีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าพื้นที่อื่นๆ มีฐานการผลิตในอุตสาหกรรมและการค้ารองรับอยู่แล้ว
ธุรกิจสิ่งทอ แปรรูปอาหาร ธุรกิจที่ใช้แรงงานเป็นหลักประเภทอื่นๆ จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตสู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ในขณะที่ธุรกิจบริการและธุรกิจที่รองรับการเติบโตของเมือง เช่น คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า บริการด้านโลจิสติกส์ ค้าปลีกค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค และบริการด้านสาธารณสุขจะได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของเมือง รวมทั้งได้รับสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนใน SEZ เช่นกัน
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลมีมติเห็นชอบให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือ Special Economic Zone (SEZ) ระยะแรกใน 5 พื้นที่ชายแดน ได้แก่ (1) แม่สอด/ตาก (2) อรัญประเทศ/สระแก้ว (3) ตราด (4) มุกดาหาร และ (5) สะเดา/สงขลา (ด่านสะเดาและปาดังเบซาร์) (รูปที่ 1) โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อดึงดูด FDI, สร้างงาน, กระจายความเจริญสู่ท้องถิ่นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ, จัดระเบียบบริเวณชายแดน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2015 รวมทั้งเพื่อแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรและแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เข้ามายังพื้นที่ตอนในของประเทศ ซึ่งทั้ง 5 พื้นที่เป้าหมายดังกล่าว (เนื้อที่รวมประมาณ 1.83 ล้านไร่) ถือได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและความพร้อมทั้งในแง่ความได้เปรียบด้าน ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ มีฐานการผลิตที่ค่อนข้างโดดเด่น มีความพร้อมในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและแรงงาน ไม่มีภัยพิบัติรุนแรง และไม่มีปัญหาด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ธุรกิจที่ลงทุนใน SEZ จะได้รับสิทธิประโยชน์ใหม่ของ BOI โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และลดหย่อนภาษีร้อยละ 50 เพิ่มอีก 5 ปี (รูปที่ 2) แม้ว่าโดยปกตินโยบายการส่งเสริมการลงทุนของ BOI จะไม่เน้นสนับสนุนธุรกิจที่ใช้แรงงานแต่มุ่งเน้นสนับสนุนธุรกิจที่มีการใช้ เทคโนโลยีสูง มีการวิจัยและสร้างนวัตกรรม และสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นหลัก แต่ในกรณีนี้ ธุรกิจที่ใช้แรงงานเป็นหลักที่ตั้งอยู่ใน SEZ จะได้รับการสนับสนุนตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) กำหนด โดยจะเป็นธุรกิจที่แต่ละพื้นที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจอยู่แล้ว เช่น อุตสาหกรรมรมสิ่งทอ, สินค้าเกษตรแปรรูป, เฟอร์นิเจอร์, การท่องเที่ยว หรืออุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดน เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น
ทั้งนี้ กนพ.ยังมิได้มีการประกาศประเภทกิจการที่ได้รับการสนับสนุนของแต่ละพื้นที่ แต่ได้มีการประกาศสิทธิประโยชน์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 โดยนอกจากจะยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปีและลดหย่อนต่อไปในอัตราร้อยละ 50 เพิ่มอีก 5 ปีแล้ว นักลงทุนยังสามารถหักลดหย่อนค่าขนส่ง ค่าน้ำไฟเป็น 2 เท่า, หักค่าติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกได้เพิ่มอีกร้อยละ 25 ของที่ลงทุนสร้าง, ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร, ยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออก, ผ่อนผันการใช้แรงงานต่างด้าวไร้ผีมือ และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาษี เช่น การถือครองที่ดินของนักลงทุนต่างด้าว และการจ้างงานผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ สำหรับธุรกิจทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในรายการของ กนพ. แต่เมื่อตั้งอยู่ใน SEZ จะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่ม 3 ปี แต่สูงสุดไม่เกิน 8 ปี กรณีที่ได้รับยกเว้น 8 ปีอยู่แล้วจะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 50 เพิ่มอีก 5 ปี และสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่นเดียวกับที่กล่าวมาก่อนหน้า ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการประกาศประเภทกิจการที่ได้รับการสนับสนุนในแต่ละพื้นที่ของ SEZ ในเดือนมกราคม 2015 ซึ่งจะสร้างความชัดเจนให้แก่นักลงทุนมากขึ้น
อีไอซี ประเมินว่า 3 ใน 5 พื้นที่นำร่องซึ่งมีความน่าสนใจ และมีศักยภาพในการพัฒนาและขับเคลื่อนให้เติบโตเป็น SEZ ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ แม่สอด อรัญประเทศ และสะเดา เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่จัดได้ว่ามีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานมากกว่า พื้นที่อื่นๆ รวมทั้งยังมีฐานการผลิตในอุตสาหกรรมและการค้ารองรับอยู่แล้ว โดยในปี 2013 ทั้ง 3 พื้นที่ดังกล่าวนี้มีมูลค่าการค้าชายแดน (border trade) รวมกันสูงถึงเกือบ 6 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 65% ของมูลค่าการค้าชายแดนทั้งหมดของไทย โดย “แม่สอด” จัดได้ว่ามีความพร้อมมากที่สุดในการจัดตั้งเป็น SEZ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลัก, ธุรกิจคลังสินค้า, ศูนย์กระจายสินค้า และบริการด้านโลจิสติกส์ เนื่องจากมีการทำการศึกษา สำรวจพื้นที่ และเตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าวมานานแล้ว อีกทั้งยังเป็นประตูหน้าด่านที่สำคัญในการเชื่อมโยงการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวเข้าสู่กรุงย่างกุ้ง และยังสามารถการเชื่อมโยงด้านการผลิตโดยตรงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดีที่ ตั้งอยู่ห่างออกไปเพียงประมาณ 10 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยส่งเสริมความสามารถในการพัฒนาและขับเคลื่อนให้เป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษคู่ขนานร่วมกันในอนาคต เพื่อสร้างความเข้มแข็งในด้านการค้าการลงทุนระหว่างไทยและเมียนมาร์อีกด้วย ในส่วนของแรงงาน แม่สอดมีความพร้อมในเรื่องแรงงานต่างด้าวจากเมียนมาร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ฝีมือที่พร้อมจะป้อนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ แรงงานเป็นหลัก (labor-intensive industry) เช่น สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องหนัง
นอกจากนี้ ด้วยความได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์ในฐานะประตูฝั่งตะวันตกของไทยบนระเบียง เศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก หรือ East West Economic Corridor (EWEC) พื้นที่บริเวณนี้จึงมีศักยภาพในการพัฒนาและใช้ประโยชน์เพื่อจัดตั้งเป็นคลัง สินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และให้บริการด้านโลจิสติกส์ ซึ่ง อีไอซี มองว่าเป็นธุรกิจที่มีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากในอนาคต
เช่นเดียวกับ “อรัญประเทศ” ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาให้เป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็น หลัก พื้นที่ค้าส่ง-ค้าปลีก รวมทั้งธุรกิจขนส่งและคลังสินค้าระหว่างประเทศ เพราะเป็นประตูฝั่งตะวันออกของไทยบนระเบียงเศรษฐกิจแนวใต้ หรือ Southern Economic Corridor (SEC) สามารถเชื่อมต่อสู่กัมพูชา ซึ่งมีเขตเศรษฐกิจพิเศษปอยเปต-โอเนียง และนิคมอุตสาหกรรมศรีโสภณ รวมทั้งยังสามารถเชื่อมต่อออกสู่ทะเลผ่านท่าเรือของเวียดนามได้ ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อธุรกิจขนส่งสินค้าและคลังสินค้าระหว่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ยังมีความพร้อมในด้านแรงงานจากกัมพูชา ที่สามารถป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรตามแนวชายแดนเพื่อรองรับวัตถุดิบจากประเทศ กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันสำปะหลัง ซึ่งสามารถนำเข้ามาแปรรูปเป็นมันเส้นและแป้งมันในไทยเพื่อส่งออกต่อไป
นอกจากนี้ อ.อรัญประเทศยังเป็นพื้นที่การค้าที่มีความคึกคักอย่างมาก โดยเฉพาะบริเวณตลาดโรงเกลือ ซึ่งพบว่ามูลค่าการค้าชายแดนที่ผ่านด่านอรัญประเทศมีการอัตราการเติบโตสูง ถึง 28% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าสูงถึงเกือบ 6 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ “อำเภอสะเดา” คืออีกหนึ่งพื้นที่ที่มีความเหมาะสมสำหรับการจัดตั้งโรงงานแปรรูปสินค้า เกษตร โดยเฉพาะยางพาราและอาหารทะเล รวมทั้งยังมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นพื้นที่การค้า และเป็น gateway หลักเพื่อรองรับการส่งออกสินค้าไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซียต่อไป เนื่องจากเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้กับท่าเรือปีนังและท่าเรือกลางของมาเลเซีย รวมทั้งยังอยู่ใกล้พื้นที่อุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมฮาลาล และอุตสาหกรรมยางพาราของมาเลเซีย ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถส่งออกยางพาราแปรรูปขั้นต้นเพื่อป้อนเข้าสู่ อุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ถุงมือยาง ยางล้อหรือชิ้นส่วนรถยนต์ ในมาเลเซียได้อย่างสะดวก ที่สำคัญด่านศุลกากรสะเดาและปาดังเบซาร์ ยังเป็นด่านที่มีมูลค่าการค้าชายแดนสูงที่สุดของประเทศอีกด้วย โดยขณะนี้ทางการไทยกำลังเตรียมปรับขยายด่านศุลกากร และอยู่ระหว่างอนุมัติโครงการถนนมอเตอร์เวย์ ของการทางพิเศษสายหาดใหญ่-ด่านสะเดา พร้อมการพัฒนารถไฟรางคู่ เส้นทาง หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ เพื่อรองรับการเกิดขึ้นของเขตเศรษฐกิจพิเศษในปี 2015
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนในพื้นที่ยังเสนอให้มีการจัดพื้นที่เขตปลอดภาษี (duty free) ขึ้นในเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยเน้นพื้นที่ตามรอยตะเข็บชายแดนด่านสะเดาและด่าน ปาดังเบซาร์ ซึ่งรูปแบบจะไม่ใช่แค่อาคารขายสินค้า แต่จะเป็นพื้นที่ที่มีการค้าเชิงพาณิชย์ และร้านอาหาร เพื่อดึงดูดให้คนไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์เข้ามาจับจ่ายใช้สอย ซึ่ง อีไอซี เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว เนื่องจากจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อแนวโน้มการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว รองรับการก้าวเข้าสู่ AEC อย่างเต็มรูปแบบในปีหน้า
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้น ฐานกับเขตเศรษฐกิจพิเศษและนิคมอุตสาหกรรมในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน พบว่าทั้ง 3 พื้นที่นำร่องในไทย มีความได้เปรียบในการดึงดูด FDI ในบรรดา 3 ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีชายแดนติดกับไทยข้างต้น (เมียนมาร์ กัมพูชา และมาเลเซีย) พบว่าประเทศที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับกิจการที่ลงทุนในฝั่งประเทศของตน ในระดับที่เทียบเท่ากับที่ประเทศไทยให้กับกิจการที่ตั้งในฝั่งไทยมีเพียง ประเทศกัมพูชาเท่านั้น โดยกิจการที่ได้รับการสนับสนุนในกัมพูชาจะได้รับการยกเว้นภาษีนิติบุคคล 9 ปี ยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบ และได้สิทธิถือครองที่ดิน 99 ปี เป็นต้น ประเด็นนี้ทำให้กัมพูชาเป็นพื้นที่ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว แต่หากคำนึงถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า ประปา) รวมถึงสภาพถนน เส้นทางคมนาคมที่ใช้ในการขนส่งสินค้าแล้ว จะพบว่าไทยมีความพร้อมและศักยภาพมากกว่า ซึ่งอีไอซีมองว่าไทยจะสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในเขต เศรษฐกิจพิเศษได้ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา
อย่างไรก็ดี หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่คาดว่าอาจจะชะลอการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ คือการหาที่ดินในราคาที่เหมาะสม เนื่องจากราคาที่ดินได้ปรับตัวสูงขึ้นมากนับตั้งแต่มีการประกาศว่าจะมีการ จัดตั้ง SEZ โดยในบางพื้นที่ เช่น อำเภอแม่สอด ล่าสุดพบว่าราคาที่ดินพุ่งขึ้นกว่า 5 เท่าตัวและยังคงมีแนวโน้มขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ซึ่งต้นทุนที่ดินที่แพงขึ้นมากดังกล่าวอาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุน และอาจกระทบต่อแรงจูงใจของนักลงทุนทั้งในพื้นที่และต่างถิ่นที่เตรียมเข้ามา ลงทุนได้
อย่างไรก็ดี เขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะบรรลุเป้าหมายได้นั้นจะต้องมีปรับปรุงโครงสร้างพื้น ฐาน และการบูรณาการการปฏิบัติงาน ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง เพื่อรองรับการขยายตัวด้านการค้า การลงทุน และสามารถเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การให้สิทธิประโยชน์ตามเขตการส่งเสริมจะทำให้มีการสัญจร มีจำนวนคน การขนส่งและการสื่อสารเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคจึงมีความจำเป็น อย่างยิ่งโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง ยกตัวอย่างเช่น การขยายถนนจาก 3 เลนเป็น 4 เลนจากตัวเมืองของแต่ละจังหวัดที่มุ่งหน้าสู่ด่านชายแดน, สร้างมอเตอร์เวย์หาดใหญ่-สะเดา, รถไฟทางคู่จากพื้นที่เขตส่งเสริมต่างๆ มุ่งหน้าสู่ท่าเรือน้ำลึกที่ใกล้จุดพักรถบรรทุก และปรับปรุงสนามบินแม่สอด การจัดให้มีระบบน้ำประปา ไฟฟ้า และสื่อสารโทรคมนาคมในแต่ละจังหวัดก็เป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องมีเพียงพอ และทันท่วงทีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในเมืองการค้าชายแดน
เนื่องจากการส่งเสริมการลงทุนครั้งนี้เน้นให้การสนับสนุนธุรกิจที่ใช้แรงงาน เป็นหลัก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการอำนวยความสะดวกและการจัดการแรงงานต่างด้าวและ การจัดระเบียบชายแดน รัฐมีแผนงานที่จะให้ใช้แรงงานต่างด้าวแบบไป-กลับ โดยมีการทำบัตรรายวันเข้า-ออกที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วยระบบ smart card พร้อมดูแลเรื่องสาธารณสุขแก่แรงงานต่างด้าวโดยจัดให้บัตรประกันสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งการให้บริการที่มีความบูรณาการและมีระบบแก่ภาคธุรกิจและแก่กลุ่มแรงงาน เองจะมีส่วนทำให้การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเห็นผลรวดเร็ว รวมทั้งยังช่วยสร้างแรงดึงดูดและความมั่นใจให้แก่นักลงทุนอีกด้วย
Implication
ธุรกิจที่จะได้ประโยชน์ในการลงทุนใน SEZ จะเป็นประเภทอุตสาหกรรมที่มีฐานการผลิตและการค้าเดิมอยู่แล้วในแต่ละพื้นที่ และเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ใช้แรงงานเป็นหลัก ในระยะยาว กิจการที่ใช้แรงงานต่างด้าวเป็นหลักจะมีการย้ายฐานการผลิตไปสู่ SEZ ตามแนวชายแดนมากขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมในการบริหารจัดการจากภาครัฐ ทั้งในส่วนของ one-stop service, การพัฒนาฝีมือแรงงาน, ความสะดวกในการขนส่งสินค้าจากฐานการผลิตไปยังท่าเรือเพื่อส่งออก หรือขนส่งสู่เมืองที่มีต้นทุนที่ประหยัดกว่า หรือแม้แต่ปัจจัยในเรื่องราคาที่ดิน เนื่องจากคาดว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ดังนั้น ความคุ้มค่าด้านการลงทุนจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกที่ตั้งของกิจการ
ธุรกิจต่อเนื่องจากภาคอุตสาหกรรมและการค้าชายแดนในพื้นที่ที่ได้รับการสนับ สนุนจะมีอุปสงค์มากขึ้นเป็นลำดับ เช่น กิจการที่อยู่อาศัย, วัสดุก่อสร้าง, กิจการพลังงาน, สื่อสารไร้สาย, การบริการขนส่ง, การค้าส่งค้าปลีกของสินค้าอุปโภคบริโภค, การบริการด้านการเงินทั้งกับผู้ประกอบกิจการฝั่งไทยและฝั่งประเทศเพื่อน บ้าน, บริการด้านสาธารณสุข, ความงาม, การบริการด้านการศึกษา โดยเฉพาะการอบรมแรงงานให้มีฝีมือ และการบริการด้านความปลอดภัย ทั้งนี้ ในส่วนของพื้นที่จังหวัดตราดคาดว่าจะมีการสนับสนุนธุรกิจและบริการด้านการ ท่องเที่ยวมากกว่าอุตสาหกรรมการผลิต โดยธุรกิจที่จะมีอุปสงค์มากขึ้น ได้แก่ รถนำเที่ยว บริษัทตัวแทนจำหน่ายทัวร์ โรงแรม ร้านอาหาร เป็นต้น
ขณะเดียวกันภาคเอกชนไทยต้องเตรียมความพร้อมเพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจจากการ เติบโตของเขตเศรษฐกิจพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มมองหาลู่ทางในการขยายธุรกิจ การหาพันธมิตร หรือร่วมทุนกับผู้ประกอบการในท้องถิ่นเพื่อรุกและขยายตลาดในประเทศเพื่อน บ้านที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการพัฒนากระบวนการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ พัฒนาคุณภาพสินค้า เพื่อให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้รองรับการเกิดขึ้นของ SEZ และการเข้าสู่ AEC ที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้