สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

เอกชนยังไม่เชื่อมั่นศก.ฟื้นน้ำมันดิ่งไม่มีผล
21/01/2015
ข่าวเศรษฐกิจ

สศอ.ชี้ภาวะเศรษฐกิจม.ค.ยังไม่ฟื้นตัว ภาคเอกชนสะท้อนให้เห็นยังไม่มีความเชื่อมั่น จากปัจจัยกำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่กลับมา คาดรอสรุปอีก 2-3 เดือนรู้ผล แต่อุตสาหกรรมรถยนต์ปรับเป้าการผลิตลดลงแล้ว 1 แสนคัน ราคาพืชผลไม่ดีฉุดกำลังซื้อรถยนต์ใหม่ในประเทศ ยันราคาน้ำมันลดลง ยังไม่มีผลต่อต้นทุนการผลิตปรับตัวลดลง

นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจว่า จากการหารือกับผู้ประกอบการภาคการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ในช่วงเดือนมกราคม 2558 ต้องยอมรับว่า ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ เนื่องจากผู้ประกอบการยังไม่มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้ อันเป็นผลสืบเนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่กลับคืนมา โดยเฉพาะราคาพืชผลทางการเกษตรที่ยังอยู่ในภาวะทรงตัว จึงทำให้ภาคเกษตรกรไม่มีรายได้เพิ่มมาจับจ่ายสินค้าได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนแรกของปีนี้ อาจจะยังไม่สามารถสะท้อนภาวการณ์ฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ ซึ่งจะต้องรอข้อมูล 2-3 เดือน เพื่อใช้ในการยืนยันว่า ภาวะเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้หรือไม่ จากที่มีการประเมินว่าจะกลับมาฟื้นตัวในช่วงต้นปีนี้ โดยเฉพาะการส่งออกที่มีสัญญาณดีขึ้นจากช่วงปลายปีก่อน

ส่วนกรณีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากการประเมินของสศอ.พบว่า ยังไม่มีผลต่อการปรับลดต้นทุนการผลิตสินค้าของภาคอุตสาหกรรมในช่วงนี้ ซึ่งคงต้องรออีกประมาณ 6 เดือน ถึงจะเห็นภาพชัดเจนว่า ราคาพลังงานที่ปรับลดลงนี้ จะมีนัยสำคัญต่อต้นทุนการผลิตสินค้าหรือไม่ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมจะมีการใช้ไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่การใช้น้ำมันจะเป็นต้นทุนในการขนส่งเท่านั้น ซึ่งค่าไฟฟ้าที่ลดลงเพียง 10.4 สตางค์ต่อหน่วย ยังถือว่าน้อย ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติก็ยังอิงราคาย้อนหลังอยู่ 6 เดือน หากราคาก๊าซและค่าไฟฟ้าปรับลดลงอีกในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ก็อาจจะมีผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าปรับตัวลงได้

นายอุดมกล่าวอีกว่า สำหรับภาคการผลิตรถยนต์ในปีนี้จากที่เคยตั้งเป้าหมายเมื่อปลายปีก่อนว่าจะมี ยอดการผลิต 2.2 ล้านคัน เป็นการจำหน่ายในประเทศ 1 ล้านคัน และส่งออก 1.2 ล้านคันนั้น ขณะนี้ในวงการผู้ผลิตรถยนต์มีการประมาณการใหม่ว่า ยอดการผลิตของปีนี้น่าจะอยู่ในระดับ 2.1 ล้านคัน เติบโตจากปีก่อนเล็กน้อยที่มียอดผลิตประมาณ 1.95 ล้านคัน เนื่องจากมีความกังวลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศที่ไม่ปรับตัว เพิ่มขึ้นมากนัก ขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงก็ไม่ได้เป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการ จำหน่ายรถยนต์ในประเทศ เพราะหากรายได้ของประชาชนไม่เพิ่มขึ้น ก็ไม่จูงใจให้เกิดการซื้อรถยนต์ใหม่

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพการผลิตรถยนต์ของประเทศให้ดีขึ้น และสอดคล้องกับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ที่จะเริ่มใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป ที่จะคิดภาษีรถยนต์ตามอัตราการประหยัดพลังงาน การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และความปลอดภัยของรถยนต์นั้น ทางสศอ.ได้มีการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่า จะนำป้ายแสดงข้อมูลรถยนต์หรือ Eco Sticker มาใช้กับรถยนต์ที่ผลิตขึ้นใหม่ ซึ่งจะมีรายละเอียดแสดงมาตรฐานการปล่อยมลพิษ การประหยัดเชื้อเพลิง และมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์แต่ละรุ่นแต่ละขนาดไว้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ ตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ที่จะนำมาใช้ในปีหน้า ซึ่งถือเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคทางหนึ่ง และเป็นการสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีอย่างถูกต้อง

ทั้งนี้ การนำป้ายแสดงข้อมูลรถยนต์มาใช้ จะช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์มีการแข่งขันการปรับปรุงคุณภาพรถยนต์ให้สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้รถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศและรถยนต์ที่นำเข้ามาจำหน่ายมีอัตรา การประหยัดพลังงานที่ดีขึ้น มีสมรรถนะด้านความปลอดภัยสูง และปล่อยมลพิษลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะหากประชาชนเลือกซื้อรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำ ราคารถยนต์อาจจะปรับตัวลดลงตามภาษีที่ปรับลดลงตามไปด้วย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,019  วันที่  18 - 21  มกราคม  พ.ศ. 2558

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.