ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "สินเชื่อเอสเอ็มอี : ฝากความหวังกับการพลิกฟื้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น"
ประเด็นสำคัญ
• สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ณ สิ้นไตรมาส 1/2557 เติบโตในอัตราที่ชะลอลงสอดคล้องกับความต้องการสินเชื่อที่ลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนและบรรยากาศการใช้จ่ายที่อ่อน แรง อย่างไรก็ตาม คาดว่าสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอาจเติบโตในอัตราไม่น้อยกว่า 7.0% YoY ในไตรมาส 2/2557 หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น
• ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทิศทางสินเชื่อเอสเอ็มอีในช่วงครึ่งปีหลังปี 2557 จะมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าในช่วงครึ่งปีแรก โดยคาดว่าหากมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมา ผนวกกับมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถประสบผลในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเรียกคืนความเชื่อมั่นจากผู้ บริโภคแล้ว ปัจจัยดังกล่าวน่าจะช่วยหนุนการขยายตัวของสินเชื่อในกลุ่มผู้ประกอบการ บางกลุ่ม อาทิเช่น กลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร กลุ่มผู้ประกอบการที่ให้บริการที่พักแรมและบริการด้านอาหาร กลุ่มผู้ประกอบการขายปลีกและขายส่งในบางพื้นที่ และกลุ่มผู้ประกอบการกิจการก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้ประกอบการที่อาจเติบโตได้ตามการส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นตัว และกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตเนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากวัฏจักรธุรกิจมากนัก ด้วย โดยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอาจมีอัตราการเติบโต ณ สิ้นปี 2557 ที่ไม่ต่ำกว่า 7.5%
• ส่วนกลยุทธ์ในการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีของธนาคารพาณิชย์ นั้น ในระหว่างที่รอพัฒนาการเชิงบวกจากอานิสงส์ของมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของภาค รัฐ คาดว่า ธนาคารพาณิชย์คงเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ธนาคารมีอยู่แล้วให้สามารถตอบ โจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด มากกว่าการการแข่งขันกันในด้านราคา
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องจากผลกระทบของปัญหาทางการเมือง ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี (ผู้ประกอบการธุรกิจที่มีสินทรัพย์สุทธิไม่รวมที่ดิน ทั้งสิ้นไม่เกิน 200 ล้านบาท) ก็ถือเป็นกลุ่มที่หลายๆหน่วยงานรวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากคาดว่าอาจเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากเศรษฐกิจที่ชะลอ ตัว ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ก็เริ่มเห็นสัญญาณการผิดชำระหนี้ เนื่องจากการขาดสภาพคล่องในระดับหนึ่งแล้ว นอกจากนี้ ความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความไม่ชัดเจนทางการเมืองของผู้ประกอบ การเอสเอ็มอี ยังคงสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมสำหรับกิจการขนาดกลางและขนาด ย่อมที่ยังคงปรับลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2556 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม ทั้งธนาคารพาณิชย์และหน่วยงานราชการก็ได้มีการออกมาตรการต่างๆเพื่อช่วย เหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหา ซึ่งก็ส่งผลให้สถานการณ์ของเอสเอ็มอีในช่วงที่ผ่านมาและไปข้างหน้ายังพอ ประคองตัวไปได้บ้าง โดยเฉพาะหากสถานการณ์ทางการเมืองหลังการทำรัฐประหารเริ่มมีความชัดเจนและ คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และมีการจัดตั้งรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเพื่อบริหารงาน ซึ่งช่วยขับเคลื่อนให้ภาวะเศรษฐกิจในประเทศสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วง ครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ แม้ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในช่วงครึ่งแรกของปีจะส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อ ของเอสเอ็มอีโดยรวมลดลง และธนาคารมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าสินเชื่อเอสเอ็มอีในช่วงครึ่งหลังของปีน่าจะ สามารถมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากในครึ่งปีแรก โดยคาดว่าอาจมีการขยายตัวที่ไม่ต่ำกว่า 7.5% ได้ในปีนี้
สินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอี ณ สิ้นไตรมาส 1/2557 เติบโตชะลอลง สอดคล้องกับความต้องการสินเชื่อที่ชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่คาดไตรมาส 2/2557 เติบโตไม่ต่ำกว่า 7% YoY
สินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอี ถือว่าเป็นสินเชื่อประเภทที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งให้ความสำคัญและเน้นการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่ม ลูกค้ากลุ่มนี้ค่อนข้างมาก เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนที่สูง แม้อาจมีความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน แต่หากธนาคารพาณิชย์มีระบบจัดการความเสี่ยงและคัดกรองลูกค้าได้ดี การเน้นปล่อยสินเชื่อสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ ก็จะส่งผลให้ธนาคารมีผลตอบแทนสูงกว่าการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการราย ใหญ่ โดยจากข้อมูลสัดส่วนของสินเชื่อตามกลุ่มลูกค้า ณ สิ้นปี 2553 ถึงไตรมาส 1/2557 จะเห็นว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วนของสินเชื่อสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate Loan) ลดลง ซึ่งถูกทดแทนด้วยสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอี ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2557 สินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีมีการเติบโตชะลอลงโดยอยู่ที่ 11.2% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จาก 14.1% ณ สิ้นไตรมาส 4/2556 ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังชะลอลงต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีสิ้นไตรมาส 2/2557 นั้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มมีสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้น ผนวกกับกำลังซื้อภายในประเทศที่อาจปรับตัวขึ้นหลังมีการทยอยจ่ายเงินค่าจำนำ ข้าวที่ค้างอยู่ให้แก่ชาวนา ดังนั้น จึงคาดว่าสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีน่าจะสามารถเติบโตในอัตราไม่ต่ำกว่า 7.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทิศทางสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีในครึ่งหลังปี 2557 ...คาดหวังแรงหนุนจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน
สำหรับแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีในช่วงครึ่งหลังของปี 2557 นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึงการฟื้นฟูความเชื่อมั่นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ จากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะมีการนำเสนอออก มาเพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจในช่วงที่ยังเหลืออยู่ของปีให้สามารถฟื้น ตัวได้โดยเร็ว หากมาตรการต่างๆเหล่านั้นสามารถกระตุ้นให้กลไกของเศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อน ไปได้แล้ว คาดว่าจะช่วยส่งผลให้สินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีสามารถกลับมาขยายตัวในอัตราที่ เพิ่มขึ้น (QoQ) ได้ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ทิศทางสินเชื่อเอสเอ็มอีในช่วงครึ่งปีหลังของปีจะมีโอกาสขยาย ตัวเพิ่มขึ้นกว่าในช่วงครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมากได้รับผลกระทบจาก การชะลอตัวของเศรษฐกิจและกำลังเผชิญกับการขาดสภาพคล่องนั้น หลายๆหน่วยงานทั้งธนาคารพาณิชย์และหน่วยงานภาครัฐ ได้หันมาเน้นการออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มดังกล่าวก่อน เพื่อประคับประคองให้สามารถดำเนินธุรกิจผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ ทั้งนี้ ในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะมีมาตรการจากภาครัฐและธนาคารพาณิชย์ที่จะออกมาเพิ่ม เติมจากที่ทำอยู่แล้ว เพื่อช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าที่ประสบปัญหาทางการเงิน ดังนี้
• มาตรการระหว่างธนาคารพาณิชย์และ บสย. สำหรับกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีที่มีความต้องการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนสภาพคล่อง แต่เผชิญข้อจำกัดด้านหลักประกัน ในปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่อ อุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)และธนาคารพาณิชย์ เพื่อหาแนวทางในการปรับการค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มขึ้นจาก 18% เป็น 50% ของวงเงินสินเชื่อ โดยภาครัฐอาจดึงสถาบันค้ำประกันสินเชื่อจากต่างชาติมาร่วมค้ำประกันกับ บสย. เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีความเชื่อมั่นในการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ กลุ่มดังกล่าวมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียด และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือน มิถุนายน 2557 นอกจากนี้ ทางสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ยังร่วมกับธนาคารรัฐและธนาคารพาณิชย์ เตรียมออกโครงการเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนเอสเอ็มอี อาทิ โครงการ SMEs Restart ซึ่ง สสว. จะร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จ่ายชดเชยดอกเบี้ยให้แก่เอสเอ็มอีในอัตราร้อยละ 3% ต่อปี ตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งนี้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่ายและเสริมสภาพคล่องของเอสเอ็มอี
• มาตรการจากทางการ สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง และต้องการการสนับสนุนในการดำเนินธุรกิจในด้านอื่นๆนอกจากด้านการเงิน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็ได้ทยอยออกมาตรการออกมาเพื่อช่วยเหลือเช่น เดียวกัน เช่น
? ในส่วนของบสย.จะออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยให้ยืดเวลาในการชำระค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันออกไปอีก 6 เดือน(สำหรับลูกค้าเดิมของ บสย.ที่จะถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกันตั้งแต่ 1 มิ.ย.2557 ถึง 31 ธ.ค.2557) การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการกลุ่มรายย่อย Micro SMEs ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายย่อย วงเงิน 5,000 ล้านบาท การให้รัฐช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่ม OTOP ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อ สำหรับผู้ประกอบการ OTOP วงเงิน 10,000 ล้านบาท เป็นต้น
? ด้านสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ก็มีการดำเนินการเพื่อสนับสนุนศักยภาพของเอสเอ็มอี เช่น ลงนามความร่วมมือข้อตกลงกับ 22 หน่วยงาน ซึ่งรวมกลุ่มของสถาบันการเงิน กลุ่มส่งเสริมด้านการค้า กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นต้น นอกจากนี้ สสว.ยังเตรียมที่จะมีโครงการที่สนับสนุนเอสเอ็มอีเฉพาะกลุ่ม เช่น ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกระทรวงสาธารณสุข จัดทำโครงการส่งเสริมธุรกิจบริการเพื่อสุขภาพให้เป็นศูนย์กลางของอาเซียน และร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ จัดทำโครงการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีเพื่อการค้าชาย แดน รวมถึงจัดทำโครงการที่ส่งเสริมธุรกิจภาคการผลิต เช่น ลดดอกเบี้ยให้เอสเอ็มอีที่ปรับปรุงเครื่องจักรการผลิต และโครงการทดสอบและวิจัยพัฒนายานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยานยนต์และชิ้น ส่วน
ทั้งนี้ การร่วมมือกันของทั้งธนาคารพาณิชย์และหน่วยงานภาครัฐ ที่ทยอยออกผลิตภัณฑ์และมาตรการดังกล่าวข้างต้นนั้น ไม่เพียงแต่เป็นการประคับประคองให้ธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถดำเนินธุรกิจผ่าน ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัวนี้ไปได้แล้ว แต่ยังเป็นการป้องกันไม่ให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเผชิญกับปัญหาการเพิ่มขึ้นของ เอ็นพีแอลด้วย โดยในระยะถัดไป คงต้องจับตาดูว่าภาครัฐจะมีการออกมาตรการอื่นๆ ที่จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเอสเอ็มอีอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวเพิ่ม เติมอีกหรือไม่ ทั้งนี้ จากการประกาศโรดแมพเศรษฐกิจของภาครัฐ เมื่อไม่นานมานี้ มีความเป็นไปได้ที่จะมีมาตรการออกมาเพิ่มเติมอีกและน่าจะมีประโยชน์ต่อ ธุรกิจเอสเอ็มอีในวงกว้าง ซึ่งคงเป็นมาตรการช่วยเหลือด้านเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำที่จะให้กับผู้ ประกอบการเอสเอ็มอีและ โอท็อป ซึ่งก็คงเป็นมาตรการหนึ่งที่จะช่วยให้ความต้องการสินเชื่อของเอสเอ็มอีปรับ ตัวดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
สินเชื่อเอสเอ็มอีช่วงครึ่งหลังปี 2557 ...มีโอกาสฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่ายังมีความต้องการสินเชื่อในผู้ประกอบการเอสเอ็มอีบางกลุ่มที่ยังมี ศักยภาพในการเติบโตได้ในปีนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ทิศทางของสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีในช่วงที่ยังเหลือของปีนี้ มีโอกาสขยายตัวดีขึ้น โดยเฉพาะหากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายลง และเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ คาดว่าการเติบโตเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน (%YoY) ของสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอี ณ สิ้นปี 2557 อาจมีการเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 7.5% (บนสมมติฐานการเติบโตของจีดีพีไทยที่ 1.3-2.4% ในปีนี้) ซึ่งแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากฐานเปรียบเทียบที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มองไปในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าสินเชื่อเอสเอ็มอีจะประคองอัตราการขยายตัวในแต่ละไตรมาสต่อไปได้ โดยคาดว่าจะมีความต้องการสินเชื่อจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในบางกลุ่ม ที่คาดว่าธุรกิจน่าจะยังมีแนวโน้มการเติบโต ดังนี้
• สินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนเอสเอ็มอีของภาครัฐและเอกชน หลังจากที่มีความชัดเจนทางการเมือง ได้แก่
o สินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร มีแนวโน้มว่าความต้องการสินเชื่อในการทำธุรกิจอาจปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการที่เคยได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากปัญหาการชำระ ค่าข้าวให้กับเกษตรกรในช่วงก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ เนื่องมาจากการที่ปัจจุบัน ภาครัฐได้เริ่มสามารถทยอยชำระค่าข้าวให้กับเกษตรกรได้ ซึ่งก็คงส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์ในทางที่ดีขึ้นด้วย
o สินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการขายส่งและขายปลีก (คิดเป็นประมาณ 27% ของสินเชื่อเอสเอมอีทั้งหมด) ซึ่งผู้ประกอบการในกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการใช้จ่ายภายใน ประเทศที่ซบเซาในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการเข้ามาทำตลาดของผู้ค้ารายใหญ่ อย่างไรก็ตาม หากกำลังซื้อภายในประเทศสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะช่วยหนุนให้ความต้องการสินเชื่อจากกลุ่มผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง นอกจากนั้น คาดว่าธุรกิจการขายส่งและขายปลีกในบางพื้นที่ยังคงได้อานิสงส์จากกำลังซื้อ ที่ขยายตัว เช่น พื้นที่ในต่างจังหวัดที่ยังมีศักยภาพในการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นหัวเมืองสำคัญๆที่เศรษฐกิจในจังหวัดกำลังขยายตัว มีจำนวนประชากรมาก ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวรวมถึงพื้นที่ในจังหวัดตามแนวชายแดนที่ได้แรงบวกจากการ เปิดการค้าเสรี AEC เช่น พื้นที่ที่อยู่ติดชายแดนของกลุ่มประเทศ CLMV เป็นต้น ทั้งนี้ สำหรับการค้าในพื้นที่ชายแดนน่าจะมีโอกาสเติบโตได้ดี เนื่องจากภาครัฐโดย สสว.ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ กำลังจะมีการจัดทำโครงการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อการ ค้าชายแดน โดยเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดน เสริมสร้างเครือข่าย จัดทำฐานข้อมูล และจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาด โดยจะส่งเสริมผู้ประกอบการเป็นเวลา 3 ปี
o สินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการให้บริการที่พักแรมและบริการด้านอาหาร (เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนสินเชื่ออยู่ประมาณ 5% ของสินเชื่อเอสเอ็มอีทั้งหมด) โดยในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการที่ให้บริการที่พักแรม ระยะสั้น เช่น โรงแรม รีสอร์ท หรือเกสต์เฮาส์ ซึ่งแม้จะได้รับผลกระทบจากการที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศมีจำนวนลดลงจาก สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ แต่หลังจากที่สถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนขึ้น และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีแนวโน้มว่าจะออกมาตรการเพื่อกระตุ้นการท่อง เที่ยว และเรียกความเชื่อมั่นกลับมาในไม่ช้านี้ ผนวกกับ การที่หน่วยงานรัฐ เช่น สสว.ก็มีโครงการที่จัดทำร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อส่งเสริมธุรกิจบริการเพื่อสุขภาพให้เป็นศูนย์กลางของอาเซียน ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อเนื่องมายังกลุ่มผู้ประกอบการที่ให้บริการที่พักแรมใน ประเทศให้เติบโตได้ดีขึ้นได้บ้างในช่วงครึ่งหลังของปี
o สินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับอานิสงส์จากการเร่งเบิกจ่ายงบ ประมาณปี 2557 โดยเฉพาะงบลงทุน อาทิ กลุ่มผู้ประกอบการกิจการก่อสร้างในท้องถิ่น เป็นต้น
• สินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของ การส่งออก ซึ่งหลักๆคงเป็น สินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการภาคการผลิต (เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนสินเชื่อประมาณ 24% ของสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีทั้งหมด) ซึ่งในกลุ่มผู้ผลิตนี้ ประกอบด้วยสินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้ผลิตอาหารมากที่สุด ตามมาด้วยกลุ่มผู้ผลิตเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี กลุ่มผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก และกลุ่มผู้ผลิตโลหะ ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อในกลุ่มภาคการผลิตนี้ น่าจะยังมีโอกาสเติบโตได้ในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางที่เกี่ยวข้อง กับการส่งออก โดยคาดว่า การฟื้นตัวของการส่งออกน่าจะทยอยเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/2557 ตามอุปสงค์ของตลาดส่งออกหลัก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป เป็นต้น รวมถึง การขยายตัวของการส่งออกไปยังตลาด CLMV ด้วย ทั้งนี้ กลุ่มผู้ผลิตที่มีแนวโน้มว่าจะมีแรงหนุนจากการส่งออกที่ฟื้นตัวตามตลาดส่ง ออกหลักสามารถจำแนกได้ดังนี้

• สินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวัฏจักรธุรกิจ อาทิ ผู้ประกอบการที่ให้บริการทางวิชาชีพ เช่น ให้บริการทางการแพทย์ หรือให้บริการทางกฎหมาย เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีรายได้มั่นคง จึงน่าจะมีความเสี่ยงต่อการผิดชำระหนี้น้อยกว่า และคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจน้อยกว่าผู้ประกอบการ กลุ่มอื่น ดังนั้น จึงน่าจะยังเป็นกลุ่มที่เป็นโอกาสเติบโตได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
ทั้งนี้ หากมองในมุมการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ จะพบว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อในภาคธุรกิจลดลง และยังส่งผลให้ธุรกิจเอสเอ็มอีเริ่มเผชิญกับภาวะการขาดสภาพคล่องและเริ่มผิด ชำระหนี้กับธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมานั้น คาดว่าในระหว่างที่รอพัฒนาการเชิงบวกจากอานิสงส์ของมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ของภาครัฐ ธนาคารพาณิชย์คงเน้นการเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากกว่าที่จะแข่ง ขันกันด้านราคาเพื่อแย่งชิงลูกค้า นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์คงเลือกชะลอการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกไปก่อน และเน้นการเสนอผลิตภัณฑ์ที่ธนาคารมีอยู่แล้ว ควบคู่กับการนำเสนอบริการทางการเงินที่ครบวงจรเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการ และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากที่สุด อาทิ การนำเสนอ Supply Chain Solutions ที่มุ่งการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงนำเสนอการให้บริการทางการเงินต่างๆให้กับกลุ่มเครือข่ายผู้ประกอบการ ที่มีความเชื่อมโยงทางธุรกิจกัน
กล่าวโดยสรุป ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจต่อกลุ่มผู้ ประกอบการเอสเอ็มอีที่เริ่มมีปัญหาในการขาดสภาพคล่อง ผนวกกับความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจที่ชะลอลงและส่งผลให้อัตราการเติบโต ของสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนชะลอลงในไตร มาสแรกนั้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มมีสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 2/2557 ผนวกกับกำลังซื้อภายในประเทศที่อาจปรับตัวขึ้นหลังมีการทยอยจ่ายเงินค่าจำนำ ข้าวที่ค้างอยู่ให้แก่ชาวนา ดังนั้น จึงคาดว่าสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอี ณ สิ้นไตรมาส 2/2557 น่าจะสามารถเติบโตในอัตราที่ไม่ต่ำกว่า 7% อย่างไรก็ตาม ในส่วนแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีในช่วงครึ่งปีหลังปี 2557 นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึงการฟื้นฟูความเชื่อมั่นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ จากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะมีการนำเสนอออก มาเพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจในช่วงที่ยังเหลืออยู่ของปีให้สามารถฟื้น ตัวได้โดยเร็ว ซึ่งหากมาตรการต่างๆเหล่านั้นสามารถกระตุ้นให้กลไกของเศรษฐกิจสามารถขับ เคลื่อนไปได้แล้ว จะช่วยส่งผลให้สินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีสามารถกลับมาขยายตัวได้ในอัตราที่ เพิ่มขึ้นได้ในลักษณะไตรมาสต่อไตรมาสในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ทิศทางสินเชื่อเอสเอ็มอีในช่วงครึ่งปีหลังของปีจะมีโอกาสขยาย ตัวเพิ่มขึ้นกว่าในช่วงครึ่งปีแรก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การเติบโตของสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอี ณ สิ้นปี 2557 อาจมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 7.5% โดยคาดว่าจะยังมีความต้องการสินเชื่อจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในบางกลุ่มที่ ธุรกิจน่าจะมีแนวโน้มสามารถเติบโตได้ อาทิ กลุ่มผู้ประกอบที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการช่วย เหลือและสนับสนุนเอสเอ็มอีของภาครัฐและเอกชน เช่น กลุ่มผู้ประกอบการเกษตร กลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และกลุ่มผู้ประกอบการขายส่งและขายปลีกในบางพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้ประกอบการที่ยังมีโอกาสเติบโต เช่น ผู้ประกอบการขนาดกลางที่น่าจะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของการส่งออก รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการที่ให้ไม่ได้รับผลกระทบจากวัฏจักรธุรกิจ เช่น ให้บริการทางการแพทย์ เป็นต้น