สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ดอกเบี้ยขาลง - เงินไหลออก - ไตรมาสแรกจีดีพีติดลบ 0.5% ศก.แย่ฉุดบาทร่วง 33/ดอลล์
08/05/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

3 สำนักวิจัยด้านเศรษฐกิจ ชี้ตรงกัน ไตรมาสแรก จีดีพีไทยติดลบ เหตุผลหลักการเมืองป่วนกระทบด้านลบเกือบทุกเซ็กเตอร์ ทั้งลงทุนภาครัฐ เอกชน การบริโภค การท่องเที่ยวขณะที่ส่งออกก็ขยายได้ไม่มาก สศค.ชี้การบริโภคร่วงต่ำรอบ 12 ปี ทำให้รายได้จากภาษีวูบ แบงก์ชี้เงินทุนไหลออก ดอกเบี้ยยังต่ำ กดค่าเงินบาททั้งปีอ่อนตัว

http://www.naewna.com/uploads/news/source/101387.jpg

ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ได้ปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงเหลือ 1.6 % จากเดิมมองว่าโต 2.4 % ซึ่งการปรับลดจีดีพีในครั้งนี้ ทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจลดลง 0.8 % หรือคิดเป็นเม็ดเงินที่สูญไป 800,000 ล้านบาท และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หากไม่มีความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นอีก

ทั้งนี้ สาเหตุหลักมาจากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อนานกว่าที่คาด จากเดิมคาดว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มีอำนาจในการบริหารประเทศภายในไตรมาส 3 ปีนี้ แต่ต้องเลื่อนออกไปเป็นปลายปี ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า กระทบการลงทุนภาครัฐหดตัว 6.6 % และมีผลกระทบต่อไปยังการบริโภคภาคครัวเรือน หดตัว 0.5 % เห็นได้จากปริมาณการซื้อรถยนต์ไตรมาสแรกของปีนี้ มีเพียง 70,000 คัน จากเดิมคาดว่าจะมีการซื้อรถยนต์ใหม่ 90,000-100,000 คัน ส่วนการลงทุนภาคเอกชนหดตัว 2.8 % เห็นได้จากการนำเข้าสินค้าทุนลดลง และกำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมเหลือเพียง 61 % จาก 70 % ในปีก่อน

ส่วนการส่งออกที่เคยคาดหวังจะขยายตัวได้ดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ก็ไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากสินค้าเกษตรส่งออกลดลง เช่นยางพารา สินค้าเกษตรแปรรูป แต่คาดว่าจะยังมีปัจจัยบวกจากการส่งออกรถยนต์ในตลาดรอง คือ ซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ได้มากขึ้น รวมทั้งการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้การส่งออกปีนี้โต 4 % จากเดิมคาดการณ์ว่าโต 5 %

นอกจากนี้ยังมองว่าแม้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่ยังไม่ถึงขั้นถดถอย เพราะแม้ไตรมาส 1 จีดีพีติดลบ 0.3 % แต่จีดีพีต้องหดตัวต่อเนื่องกัน 2 ไตรมาส จึงจะเข้านิยามเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ตาม หากจีดีพีเติบโตต่ำต่อเนื่องจะกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะยาวที่จะ ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งความสามารถทางการผลิตและแข่งขัน และยอมรับว่าในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตต่ำ มีโอกาสที่หนี้ครัวเรือนจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะรายได้ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะรายย่อยและเอสเอ็มอี แต่คุณภาพสินเชื่อยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่น่ากังวล แม้ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะเพิ่มขึ้นบ้าง

สำหรับค่าเงินบาทในอนาคตมีแนวโน้มอ่อนค่าจากปัจจุบันเนื่องจากการไหลออกของ เงินทุนต่างประเทศที่เป็นผลมาจากอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของ ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการเมือง แม้จะมีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาในตลาดทุนในช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาก็ตาม แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐที่เร็วกว่ากำหนด ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 33 บาท/ดอลลาร์

ดร.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค  ที่มาภาพ : http://www.mnewsfund.com

ด้าน ดร.กุลยา  ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง  เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2557 ว่า เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยทางการเมือง   ที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ทำให้การใช้จ่ายภาคเอกชนทั้งในด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง ตลอดจนการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่หดตัว  ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงตามทิศทางการใช้จ่าย ภายในประเทศ และการส่งออกสินค้าที่หดตัวในช่วงที่ผ่านมา

“เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2557 คาดจะขยายตัวติดลบที่ -0.5% จากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปลายปี 56 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยัง

คาดว่าในครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยจะไม่ขยายตัว โดยในไตรมาสที่ 2 จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ เนื่องจากภาคการส่งออกที่เริ่มส่งสัญญาณจากเศรษฐกิจฟื้นตัวมากขึ้น โดยประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐ ญี่ปุ่น รวมถึงกลุ่มยุโรป และกลุ่ม CLMV เป็นความหวังที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเป็นบวกได้”

ทั้งนี้ การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงต่อเนื่อง ทำให้ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนมีนาคม 2557  ติดลบ 1.2 %  ส่งผลทำให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2557 ติดลบ 0.2 % นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนมีนาคม 2557 อยู่ที่ระดับ 58.7 เป็นผลทำให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2557 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 59.9 ซึ่งนับเป็นการปรับตัวลดลงเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 12 ปี สำหรับการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณหดตัวต่อเนื่อง ทั้งในหมวดการก่อสร้าง และหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนได้จากภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือนมีนาคม 2557 หดตัวต่อเนื่องที่ ติดลบ 9.4 %  ส่งผลให้ไตรมาสที่ 1 ปี 2557 ติดลบ  6.6 %

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทานส่งสัญญาณหดตัวเช่นกัน สะท้อนจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม 2557 หดตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ติดลบ -10.4 %  ส่งผลทำให้ใน ไตรมาสที่ 1 ปี 2557 ติดลบ -7.0 %  โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ปรับตัวลดลงในระดับสูง ได้แก่ การผลิตยานยนต์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน และอาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2557 ดร.ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงว่า เศรษฐกิจเดือนมีนาคมและไตรมาสแรกหดตัวลงเล็กน้อยจากการส่งออกที่ฟื้นตัวช้า และการบริโภคการลงทุนภาคเอกชนที่หดตัวเล็กน้อยเนื่องจากปัญหาการเมือง โดยยังยืนยันการคาดการณ์ทั้งหมดเอาไว้เหมือนเดิมและจะทบทวนปรับจีดีพีและตัว เลขเศรษฐกิจอื่นๆ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งต่อไปในเดือนมิถุนายน

 

ทั้งนี้ การส่งออกยังฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ โดยหดตัว 2.7% ในเดือนมีนาคม และหดตัว 0.8% เฉลี่ยทั้งไตรมาส สาเหตุหลักมาจาก 1) การส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่ความต้องการในตลาดโลกยังอ่อนแอ 2) มีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น และ 3) การส่งออกสินค้าเกษตรหดตัวจากราคายางพาราและข้าว อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณฟื้นตัวในบางอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี

http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2014/04/gdp.jpg

สำหรับตัวเลขการส่งออกทั้งปียังยืนยันที่ 4.5% แม้จะมีความเป็นไปได้ยากขึ้น จากการที่ออกตัวไตรมาสแรกต่ำกว่าที่คาด โดยอีกเก้าเดือนที่เหลือจะต้องมียอดมูลค่าส่งออกเดือนละ 23,000 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย ซึ่งปกติยอดส่งออกที่มากสุดจะอยู่ประมาณ 21,000 ล้านบาทเท่านั้น

ขณะที่ภาคเอกชน ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนหดตัวลง 1.4% ตามการใช้จ่ายสินค้าคงทนและไม่คงทนที่ลดลง เนื่องจากผู้บริโภคยังระมัดระวังการใช้จ่าย ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง สอดคล้องกับการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่หดตัวลง 8.3% ในไตรมาสแรก ด้านการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนหดตัว 6.4% เนื่องจากผู้ประกอบการชะลอการลงทุนออกไปเพื่อรอความชัดเจนทางเศรษฐกิจและการเมือง

ทั้งนี้ ดร.ดอนมองว่า ไตรมาสแรกน่าจะเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดของปี ขณะที่ไตรมาสสองและสามน่าจะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ปัญหาการเมืองจบ ก็น่าจะดึงความเชื่อมั่นกลับมาได้ดี แต่ต้องดูตัวเลขยืนยันก่อน

“ถ้าพิจารณาจากตัวเลขเดือนมีนาคม ก็มีความเป็นไปได้ที่จะต่ำสุดถ้าดูจากองค์ประกอบจากการบริโภคและการลงทุน ซึ่งค่อนข้างทรงตัวจากเดือนที่แล้ว แต่ว่าจะให้มั่นใจเลยคงต้องรอตัวเลขเดือนเมษายน ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นกลับขึ้นมาขนาดไหน” ดร.ดอนกล่าว

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.