สถาบันวิจัยโนมูระนำเสนอแนวทางและนวัตกรรมที่สำคัญในภาคเครื่องจักรกลและเครื่องมือตัดเฉือน ที่จะช่วยให้ธุรกิจผลิตสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
? คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของประชากรและผลกระทบต่อการจ้างงาน
? แนวทางการเพิ่มคุณค่าผ่านการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี AI มาใช้
? การปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต
าพรวมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
ปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต
ภาคการผลิตเป็นผู้ใช้หลักของเครื่องจักรกลและเครื่องมือตัดเฉือน แต่ในยุคนี้ประชากรโลกกำลังเข้าสู่จุดสูงสุดและจะเริ่มลดลง
ตามรายงาน United Nations World Population Prospects 2024 ประชากรโลกคาดว่าจะสูงสุดในศตวรรษที่ 21
ใน 63 ประเทศและภูมิภาค (รวมประชากรร้อยละ 28 ของโลก) เช่น ญี่ปุ่น จีน เยอรมนี และรัสเซีย คาดว่าประชากรจะถึงจุดสูงสุดก่อนปี 2024
สำหรับญี่ปุ่น ตามการประมาณการของสถาบันประชากรและความมั่นคงทางสังคม คาดว่าประชากรจะลดลง 5% ภายในปี 2034 และ 16% ภายในปี 2050 เมื่อเทียบกับปี 2024
ผลกระทบต่อการจ้างงาน
ข้อมูลจาก Japan Institute for Labor Policy and Training ระบุว่า:
หากสถานการณ์ปัจจุบันคงอยู่ จำนวนผู้มีงานทำในภาคการผลิตคาดว่าจะลดลง 7% ในปี 2030 และ 21% ในปี 2050 เมื่อเทียบกับปี 2022
ในกรณีที่มีการเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมของแรงงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป จำนวนผู้มีงานทำอาจคงที่จนถึงปี 2030 แต่ภายในปี 2040จะลดลง 7% เมื่อเทียบกับปี 2022
หากไม่สามารถเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอกับจำนวนแรงงานที่ลดลง ก็อาจส่งผลให้ไม่สามารถจัดหาคนงานที่จำเป็นได้ หรือทำให้ภาระงานต่อคนเพิ่มขึ้นจนไม่สามารถรักษาสถานที่ผลิตไว้ได้ อาจนำไปสู่การลดขนาดโรงงานหรือการปิดกิจการ

ผลกระทบทางสังคมและความสำคัญของนวัตกรรม
การสูญเสียความยั่งยืนในการผลิตไม่เพียงแต่ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อสังคมโดยรวมด้วย
การผลิตที่มีคุณภาพและต้นทุนต่ำช่วยสร้างความมั่งคั่งให้กับสังคม
นอกจากนั้น ยังเป็นแหล่งที่มาของความภาคภูมิใจและความรู้สึกสมหวังของคนงาน รวมทั้งช่วยให้ชุมชนรอบโรงงานมีโอกาสในการจ้างงาน
ในอนาคต การผลักดันให้การผลิตมีความยั่งยืนจะกลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสำคัญ และความคาดหวังต่อเครื่องจักรกลและเครื่องมือตัดเฉือนในฐานะตัวกำหนดผลผลิตก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

การมองไปข้างหน้า: การคาดการณ์และนำเสนอคุณค่า
แนวทางการเตรียมรับการเปลี่ยนแปลง
ในบริบทของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากการตอบสนองต่อความต้องการในปัจจุบัน (bottom-up) แล้ว ควร:
จินตนาการถึงอนาคตอุดมคติที่การผลิตที่ยั่งยืนเกิดขึ้นแม้ในสถานการณ์ขาดแคลนแรงงาน
ใช้แนวคิด “backcasting” เพื่อกำหนดคุณค่าที่จำเป็นต่อการบรรลุภาพนั้น
นำเสนอคุณค่าให้กับผู้ใช้เครื่องจักรกลและสังคมในแนวทางที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของยุค
ตัวอย่างการนำเสนอคุณค่า
การปรับปรุงความง่ายในการใช้งานของเครื่องจักรกลเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดย:
ออกแบบให้เหมาะสมกับกลุ่มที่เคยไม่ได้มีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน เช่น ผู้หญิงและผู้สูงอายุ
ยกตัวอย่างในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ เช่น Universal Robots จากเดนมาร์ก ที่พัฒนาหุ่นยนต์ที่ควบคุมง่ายผ่านแท็บเล็ตที่มีหน้าจอสัมผัส
ในอนาคต ด้วยเทคโนโลยี AI แบบสร้างสรรค์ (generative AI) อาจช่วยให้การสั่งงานผ่านภาษาธรรมดากลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น
นอกจากนั้น ยังมีการพิจารณามาตรการประหยัดแรงงานในส่วนของอุปกรณ์ขนส่งชิ้นงานที่ผ่านการแปรรูปแล้วอีกด้วย
การปรับโครงสร้างองค์กรและการใช้ทรัพยากรภายนอก
เพื่อให้สามารถนำเสนอคุณค่าในแนวทาง backcasting ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้อง:
ปฏิรูปโครงสร้างองค์กรเพื่อให้สามารถบริหารจัดการทั้งการพัฒนาธุรกิจเดิมและการสำรวจโอกาสใหม่ (Ambidextrous Management)
นำวิสัยทัศน์ใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนในการผลิตและสังคมเข้ามากำหนดทิศทางองค์กร
สร้างช่องทางให้พนักงานทุกระดับได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อให้วิสัยทัศน์ใหม่เป็นที่เข้าใจและยอมรับในทุกระดับ
เนื่องจากบุคลากรภายในที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและประสบการณ์ในการสร้างคุณค่าใหม่มีจำนวนจำกัด การใช้ทรัพยากรมนุษย์ภายนอกจึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่สำคัญ
ควรต้อนรับผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารภายนอกที่มีทักษะตรงตามที่องค์กรต้องการ
รวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจัดการ เช่น การนำกรรมการบริหารภายนอกเข้ามาในคณะกรรมการตรวจสอบ (Committee-based system) เพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่ง
ด้วยการปฏิรูปและการร่วมมือในระดับองค์กร อุตสาหกรรมเครื่องมือตัดเฉือนจะสามารถรับมือกับปัญหาการลดลงของประชากรและขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืนและพัฒนาสังคมในอนาคต