วันที่ 28 มิถุนายน 2567 นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพฤษภาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 98.34 หดตัว 1.54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.77% ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม 5 เดือนแรกปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 98.16 หดตัว 2.08% และอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 59.30%
จากการที่ MPI หดตัว สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงไม่ฟื้นตัว เนื่องจากปัญหาขาดกำลังซื้อภายในประเทศ หนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต
อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม 2567 ด้านการส่งออกรวมกลับมีมูลค่าขยายตัว 7.2% ขยายตัวเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเริ่มฟื้นตัว ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 4.6% การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัว 2.9% ขยายตัวเป็นเดือนที่ 2 และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัว 4.4% ขยายตัวเป็นเดือนที่ 2 เช่นกัน
โดยสินค้าอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (Printer) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ อัญมณีและเครื่องประดับแท้ทำด้วยเงิน เป็นต้น
สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ภาพรวมของไทยเดือนมิถุนายน 2567 “ส่งสัญญาณชะลอตัว” จากปัจจัยภายในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัว หลังความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงจากปัจจัยเสี่ยงของปัญหาภัยแล้งที่จะกระทบต่อสินค้าเกษตร
อย่างไรก็ตาม มาตรการยกเว้นวีซ่าในหลายประเทศ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจได้ ขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจยังคงปรับเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ส่งสัญญาณฟื้นตัวระยะสั้น โดยภาคการผลิตของสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ในอนาคต
“จากสถานการณ์การเปิด-ปิดโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศ จากการวิเคราะห์ของ สศอ. พบว่า ภาพรวมในปี 2567 ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 แม้จะมีการแจ้งปิดกิจการโรงงาน แต่สัดส่วนของโรงงานเปิดกิจการใหม่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลต่อการลงทุน และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการนำเข้าสินค้าทุน เช่น เครื่องจักรอุปกรณ์ที่ขยายตัวต่อเนื่องมาจากช่วงครึ่งหลังของปี 2566
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมที่มีจำนวนการเปิดโรงงานมากกว่าปิด เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี สิ่งทอ แปรรูปไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์พลาสติก และผลิตภัณฑ์อโลหะ เป็นต้น
สะท้อนให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมเหล่านี้ยังคงเป็นที่ต้องการทั้งภายในและต่างประเทศ โดยจะเป็นโรงงานขนาดใหญ่และกลางเป็นหลัก และเป็นสินค้าที่มีความสามารถในการเติบโตได้ในอนาคต
ดังนั้นภาครัฐควรเร่งส่งเสริมการลงทุน หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสนับสนุนให้เกิดการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป”
สำหรับอุตสาหกรรมหลัก ที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนพฤษภาคม 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ น้ำมันปาล์ม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19.88% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เป็นหลัก เนื่องจากเกิดภาวะฝนแล้งและร้อนมากในช่วงก่อนหน้า ทำให้ผลปาล์มสุกแดด จึงมีผลผลิตเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก สำหรับการจำหน่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มต้องการใช้น้ำมันปาล์มเพื่อการอุปโภคบริโภคมากขึ้น โดยขยายตัวทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
อาหารสัตว์สำเร็จรูป ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.55% จากภาวะการผลิตเพิ่มขึ้นจากสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูปเป็นหลัก ตามคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าตะวันออกกลาง บาห์เรน และญี่ปุ่น รวมถึงการรับจ้างผลิตให้กับลูกค้าต่างประเทศ
เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.18% จากเหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กเส้นข้ออ้อย และท่อเหล็กกล้า เนื่องจากคำสั่งซื้อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการเร่งเบิกจ่ายในโครงการของภาครัฐ และฐานต่ำในปีก่อน
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนพฤษภาคม 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ยานยนต์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.22% จากรถบรรทุกปิกอัพ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และเครื่องยนต์ดีเซล ตามการหดตัวของตลาดภายในประเทศ ที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้ออ่อนแอ สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ แต่ตลาดส่งออกขยายตัว
ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 17.16% จากภาวะการผลิตและการจำหน่ายลดลงของ Integrated circuits (IC) และ PCBA เป็นหลัก เป็นไปตามทิศทางของตลาดอิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่ยังชะลอตัว ประกอบกับบางบริษัทมีการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าต่อหน่วยสูงขึ้น จึงมีปริมาณการผลิตลดลง
คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 11.97% จากเสาเข็มคอนกรีต พื้นสำเร็จรูปคอนกรีต และคอนกรีตผสมเสร็จ เนื่องจากลูกค้ากลุ่มโมเดิร์นเทรดและตัวแทนจำหน่ายยังมีสต๊อกอยู่ในระดับสูง จึงชะลอคำสั่งซื้อ