"เหล็ก” เป็นวัตถุดิบสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการ ก่อสร้าง ซึ่งไทยยังไม่มีการผลิตในอุตสาหกรรมเหล็กต้นนํ้า ทำให้ต้องนำเข้าเหล็กต้นนํ้า 100%
ปัจจุบัน จีน เป็น เบอร์หนึ่งของโลกทั้งในแง่การผลิตและการส่งออกเหล็ก โดยจีนผลิต 70% ตามชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก มณฑลเหอเป่ย (Hebei) อยู่ทางตอนเหนือติดกับกรุงปักกิ่งและมณฑลซานตง ถือได้ว่าเป็น “เมืองหลวงเหล็กของจีน” มีกำลังการผลิตมากกว่า 100 ตันต่อปี
ตลาดส่งออกหลักของจีนอยู่ที่อาเซียน (สัดส่วน 33% ของการส่งออกเหล็กจีน) เพราะความต้องการเหล็กอาเซียนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 30 ล้านตันในปี 2553 เป็น 78 ล้านตันในปี 2559 และ 80 ล้านตันในปี 2562 (SEAISI) แต่โควิด-19 ทำให้ความต้องการลดลงเหลือ 79 ล้านตันในปี 2563 และหลังวันที่ 23 มี.ค. 2561 ที่สหรัฐอเมริกาเก็บภาษีเหล็กจากจีน 25% ทำให้เหล็กจีนไม่สามารถขายให้สหรัฐฯ ได้ ก็ต้องส่งไปอาเซียน โดยมี เวียดนามเป็นตลาดอันดับหนึ่งของจีน
ทั้งนี้ มี “6 ปัจจัยที่ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กจีนผลิตยึดตลาดโลก” คือ
1. เป็นอุตสาหกรรมหลักในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 1 (1953-1957)
2.การพัฒนาอุตสาหกรรมของจีนก้าวกระโดดทำให้มีความต้องการเหล็กเพิ่ม
3.นโยบายการสร้างเมือง (Urbanization)
4.การเข้าเป็นสมาชิก WTO ของจีนตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2001 เป็นแรงส่งให้เหล็กจีนไปขายในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอีก
5. บริษัทผลิตเหล็กส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจจึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน และ
6.เหล็กจีนมีราคาถูก
ข้อมูลของ “Steelbenchmarker” รายงานว่าราคาเหล็กของจีนทุกประเภท เช่น เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็นชนิดม้วน และเหล็กแผ่น “ถูกกว่าราคาเหล็กสหรัฐฯ 50%” ในขณะที่ “เวียดนามเป็นเบอร์หนึ่งอุตสาหกรรมเหล็กของอาเซียน” ปี 2561 เวียดนามผลิตเหล็ก 14.5 ล้านตันต่อปี (ความต้องการ 22 ล้านตันต่อปี) และคาดว่าผลิต 66 ล้านตันในปี 2578 การผลิตเหล็กเวียดนามเพิ่มสูงเพราะเวียดนามมีนโยบายให้มี “การผลิตเหล็กต้นนํ้า”
สำหรับอาเซียน สามารถผลิตเหล็กได้เพียงปีละ 42 ล้านตัน (2561) ในขณะที่ความต้องการปีละ 80 ล้านตัน เลยต้องนำเข้าจากเวียดนามและจีนเพิ่มขึ้นทุกปี
หันมาดูสถานการณ์ราคาเหล็กโลกกันบ้าง “ราคาเหล็กในประเทศจีน” เพิ่มขึ้นทุกชนิด เดือนเมษายน ปี 2563 กับ 2564 ราคาแผ่นรีดร้อน (Hot Roll Coil : HRC) เพิ่มขึ้น 84% (จาก 462 เป็น 851 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ) และแผ่นรีดเย็น (Cool Roll Coil : CRC) เพิ่มขึ้น 74% (จาก 529 เป็น 922 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน) ในขณะที่เหล็กเส้น (Rebar) เพิ่มขึ้น 55% (จาก 485 เป็น 751 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน) และเหล็กแท่งยาว (Billet) เพิ่มขึ้น 80% (จาก 432 เป็น 777 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน) และเหล็กลวดเพิ่มขึ้น 73% (จาก 471 เป็น 814 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน)
