นายสินิตย์ เลิศไกร
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า
หลังจากสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional
Comprehensive Economic Partnership: RCEP) รวมถึงประเทศไทย
ได้ร่วมกันให้สัตยาบันความตกลง RCEP ครบตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
ทำให้ความตกลง RCEP เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1
มกราคม 2565 โดยความตกลง RCEP นอกจากจะครอบคลุมการเปิดเสรีการค้า
ลดอุปสรรคทางการค้า ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบภายในภูมิภาค
และอำนวยความสะดวกทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้นจากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยเป็นภาคีอยู่ก่อนหน้าแล้ว
ยังมีข้อตกลงที่ตอบโจทย์กับการค้าในยุคชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) อีกด้วย
รมช.พาณิชย์ เพิ่มเติมว่า
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคและการดำเนินธุรกิจของทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลง
โดยได้นำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจและกิจกรรมต่างๆ
มากขึ้น รวมถึงมีปริมาณการซื้อขายออนไลน์ระหว่างผู้บริโภคกับผู้ผลิตหรือเกษตรกรโดยตรงเพิ่มขึ้น
ความตกลง RCEP
มีเป้าหมายสร้างสภาวะแวดล้อมที่ตอบสนองการก้าวสู่การค้าโลกยุคดิจิทัลที่เปิดกว้าง
เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสทางการค้าให้ผู้ประกอบการ SMEs และเกษตรกร โดยเฉพาะเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
และการส่งเสริมศักยภาพของ SMEs
ทั้งนี้ ความตกลง RCEP จะช่วยผลักดันการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาในภูมิภาค RCEP ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยให้ได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเหมาะสมและสะดวกยิ่งขึ้นในประเทศสมาชิกอื่น
เช่น การกำหนดให้มีระบบยื่นคำขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาอิเล็กทรอนิกส์
การอำนวยความสะดวกในการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรระหว่างประเทศ
การอำนวยความสะดวกในการยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศ
และการเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในระบบอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและอำนวยความสะดวกการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศสมาชิก
ป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของไทย
และกระตุ้นการสร้างและใช้นวัตกรรมใหม่ในการประกอบธุรกิจอีกด้วย
นอกจากนี้ ความตกลง RCEP จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกิจ
เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น
การกำหนดให้ประเทศสมาชิกมีกฎหมายหรือกฎระเบียบที่จะคุ้มครองผู้บริโภคออนไลน์จากการกระทำที่ฉ้อฉลและหลอกลวง
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลออนไลน์
และการจัดการข้อความการค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่พึงประสงค์ เป็นต้น
“ความตกลง RCEP ได้ให้ความสำคัญกับ SMEs รวมถึงวิสาหกิจชุมชนและเกษตรกรรายย่อย
ให้สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงได้อย่างเต็มที่
โดยกำหนดให้มีกิจกรรมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อแบ่งปันความรู้
ประสบการณ์ และแนวทางการปฏิบัติที่ดีเลิศระหว่างประเทศสมาชิก
เพื่อการเข้าถึงตลาดและการเข้าสู่ระบบห่วงโซ่การผลิตโลก เพื่อให้ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อยได้พัฒนาขีดความสามารถ
ส่งเสริมศักยภาพในด้านการสร้างสรรค์ สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่เครือข่ายการผลิตในภูมิภาค
และมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งจะทำให้เกิดการขยายตัวทางการค้าและการลงทุนของไทยและในภูมิภาคด้วย”
นายสินิตย์เสริม
--------------------------------
กระทรวงพาณิชย์
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
28 ธันวาคม 2564