กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
จัดสัมมนาเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการปรับตัวรับโควิด แนะศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค
ผลิตสินค้าตอบโจทย์ตลาดเป้าหมาย เน้นใช้ช่องทางการค้าออนไลน์ ชี้! เครื่องเทศสมุนไพร-อาหารสัตว์เลี้ยง เป็นสินค้าดาวเด่น สินค้าอาหารยังมาแรง หนุนใช้ประโยชน์จาก FTA
สร้างแต้มต่อขยายส่งออก
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
เปิดเผยว่า กรมฯ ได้จัดสัมมนาออนไลน์ เรื่อง “รอบรู้ตลาดการค้าเสรีกับกรมเจรจา:
เตรียมพร้อมผู้ประกอบการไทยให้ยั่งยืน” เมื่อวันที่ 23
สิงหาคมที่ผ่านมา โดยได้เชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
มาร่วมแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์เรื่องการปรับธุรกิจให้รับมือวิกฤตโควิด-19
และใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อขยายโอกาสการส่งออกสินค้าไทย
และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของไทยในตลาดโลก
นางสาวบุณิกา แจ่มใส รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
เสริมว่า FTA ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดอุปสรรคทางการค้าและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของสินค้าไทย
แม้จะอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2564 มูลค่าการค้ารวมของไทยกับประเทศคู่
FTA ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 24.7% คิดเป็นมูลค่า
195,912 ล้านเหรียญสหรัฐ การส่งออกขยายตัวถึง 18.2% คิดเป็นมูลค่า 95,971.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
ตลาดส่งออกสำคัญ คือ อาเซียน จีน และญี่ปุ่น สินค้าที่น่าจับตามองและเป็นดาวเด่น
คือ เครื่องเทศสมุนไพร และอาหารสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตาม สินค้าอาหารยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคสูงและสามารถขยายส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง
โดยกรมฯ จะจัดกิจกรรมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ FTA ให้กับเกษตรกร
วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ
เพื่อใช้เป็นอาวุธสร้างแต้มต่อและต่อยอดขยายส่งอออกตลาดต่างประเทศ
ด้าน ม.ล.คฑาทอง ทองใหญ่
นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ให้ข้อมูลว่า
การสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าส่งออกมีหลายแนวทาง เช่น การควบคุมคุณภาพสินค้า
การเลือกใช้วัสดุ การออกแบบ การสร้างแบรนด์ การใช้ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม นวัตกรรม
และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
โดยผู้ประกอบการต้องศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดเป้าหมายด้วย
รวมทั้งศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อแนวโน้มของตลาดโลก เช่น การขยายตัวของสังคมเมือง
สังคมผู้สูงวัย การใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ กระแสเศรษฐกิจ BCG
และการใช้ชีวิตแบบวิถีชีวิตใหม่หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้น
เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท
เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปใน 5 แนวทาง
คือ 1) การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน 2) การสนับสนุนสินค้าท้องถิ่น 3) เน้นราคาและความคุ้มค่าของสินค้า
4) การรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน และ 5) การรักษาสุขภาพ
สำหรับสินค้าไทยที่จะมีโอกาสเติบโตในตลาดโลกต้องให้ความสำคัญกับ 3 สิ่ง คือ การพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง การสร้างแบรนด์
และการใช้ช่องทางการจำหน่ายที่เหมาะสม
โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากช่องทางการค้าออนไลน์
และควรให้ความสำคัญกับระบบจัดจำหน่ายและระบบขนส่ง
เพื่อให้สามารถขยายตลาดได้รวดเร็วและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น
ด้านนางจันท์นิภา
สถิรปัญญา เลขาธิการสมาคมตลาดสดไทย ระบุว่า ในช่วงโควิด-19
ทิศทางของตลาดสดต้องปรับรูปแบบมาใช้ Social Media เข้ามาช่วยมากขึ้น อาทิ การสั่งสินค้าผ่านระบบ Delivery รวมถึงปรับตัวให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่ปัจจุบันหันมาดูแลสุขภาพ
และใส่ใจเรื่องราคาสินค้าและความคุ้มค่ามากขึ้น
ตลาดสดจึงต้องคำนึงถึงคุณภาพสินค้าที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค
และควรปรับตัวเป็นตลาดออนไลน์ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น
สำหรับผู้สนใจสามารถรับชมการสัมมนาย้อนหลัง ได้ทาง Facebook
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
-------------------------------------
กระทรวงพาณิชย์
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
30 สิงหาคม 2564