กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
เปิดระดมความเห็นต่อร่างผลการศึกษารูปแบบการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าในสินค้าสำคัญ
ผ่านการสัมมนาออนไลน์ เรื่อง “ห่วงโซ่อุปทานไทยก้าวไกลด้วย FTA” ชี้! หากผลการศึกษาชี้ให้เห็นโครงสร้างการผลิต
ความเชื่อมโยง และการใช้วัตถุดิบได้ชัดเจน
จะสามารถเลือกใช้รูปแบบการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าที่เหมาะสม
และช่วยผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิพิเศษทางภาษีจาก FTA อย่างเต็มที่
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
เปิดเผยผลการสัมมนาออนไลน์ เรื่อง “ห่วงโซ่อุปทานไทยก้าวไกลด้วย FTA”
ซึ่งจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ว่า การสัมมนาครั้งนี้
เพื่อนำเสนอร่างผลการศึกษาเรื่องการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้ารูปแบบต่างๆ และรูปแบบที่เหมาะสมกับสินค้าส่งออกของไทย
เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากแต้มต่อทางภาษีภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA)
โดยผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทาน (supply
chain) สินค้าส่งออกของไทย
โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ และสินค้าที่มีห่วงโซ่การผลิตที่ซับซ้อน
เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องปรับอากาศ รถยนต์ และปลาทูน่ากระป๋อง เป็นต้น
โดยจะนำเสนอรูปแบบการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าที่อาจใช้เป็นแนวทางในการเจรจา FTA
ต่อไป
เพื่อให้สินค้าที่ผลิตและส่งออกจากไทยสามารถใช้สิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้ FTA
ได้อย่างเต็มที่ เพื่อแต้มต่อในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย
นางอรมน เสริมว่า ผลการศึกษาพบว่า การสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้ FTA
มีหลายรูปแบบ เช่น
การสะสมถิ่นกำเนิดได้ตามมูลค่าการผลิตที่เกิดขึ้นจริงในภาคี FTA แม้การผลิตจะไม่ผ่านเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า โดยรูปแบบนี้ใช้ใน FTA สหภาพยุโรป-แคนาดา และ FTA สหภาพยุโรป-ญี่ปุ่น
รวมถึงการนำมูลค่าของสินค้าที่ผลิตจากประเทศนอกภาคี FTA มาสะสมถิ่นกำเนิดใน
FTA ได้
หากประเทศนอกภาคีนั้นได้จัดทำข้อตกลงต่างหากกับประเทศใน FTA ดังกล่าวแล้วทุกประเทศ
โดยรูปแบบนี้ใช้ใน FTA ตุรกี-มาเลเซีย และ FTA สมาคมการค้าเสรียุโรป-แคนาดา เป็นต้น
สำหรับ FTA ที่ไทยเป็นสมาชิกในปัจจุบัน
ใช้การสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าเพียง 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) การสะสมมูลค่าได้เมื่อวัตถุดิบผ่านเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าใน FTA นั้น ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้ใน FTA ทุกฉบับของไทย และ 2)
การสะสมที่มีข้อผ่อนปรนโดยสามารถสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าได้ตามมูลค่าการผลิตที่เกิดขึ้นจริงในภาคี
FTA แม้การผลิตดังกล่าวจะไม่ผ่านเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า
แต่อย่างน้อยมูลค่าการผลิตวัตถุดิบในประเทศนั้น ต้องมีตั้งแต่ร้อยละ 20 แต่ไม่เกินร้อยละ 40 โดยการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้ารูปแบบนี้ใช้ในความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน
(ATIGA) ได้ด้วย
นอกจากนี้
วิทยากรผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ อาทิ ดร.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร.พิสิทธิ์ พัวพันธ์
ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และ ดร.นครินทร์
อมเรศ รองผู้อำนวยการกลุ่มงานนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย
ร่วมกันให้ความเห็นต่อโครงการศึกษานี้ว่า
การมีข้อมูลห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างการผลิตของสินค้าที่สำคัญ
และการเชื่อมโยงการผลิตกับประเทศอื่นๆ
โดยเฉพาะการแบ่งประเภทของวัตถุดิบที่นำเข้ามาผลิตสินค้าในขั้นต้นน้ำและกลางน้ำอย่างระเอียด
จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าให้เหมาะสม
ทั้งนี้
สำหรับห่วงโซ่อุปทานโลกหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
จะมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตสินค้าเป็นหลัก
ดังนั้น ภาครัฐจึงต้องมีนโยบายเพื่อเร่งยกระดับภาคอุตสาหกรรมของไทย
และผู้ประกอบการไทยจะต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการผลิตสินค้าให้มากขึ้น
เพื่อให้ไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตโลกในอนาคต
“การศึกษาวิเคราะห์รูปแบบการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้า
และรูปแบบห่วงโซ่การผลิตสินค้าต่างๆ ของไทย ช่วยให้กรมฯ
มีข้อมูลนำไปปรับปรุงรูปแบบการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าใน FTA ต่างๆ
ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้สิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้ FTA ที่ไทยมีอยู่ในปัจจุบัน และ FTA ที่ไทยมีแผนจะเจรจาจัดทำในอนาคตได้อย่างเต็มที่”
นางอรมนกล่าว
---------------------------------------
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์
25 สิงหาคม 2564