จากการประกาศนโยบายสนับสนุนการถอนฐานการผลิตออกจากจีน
และย้ายกลับเข้าสู่ประเทศ ของรัฐบาลญี่ปุ่น โดยกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า
และอุตสาหกรรม (Ministry of Economy, Trade and Industry: METI) เมื่อต้นเดือนเมษายน
2020 ที่ผ่านมา เพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ
และเสริมความแข็งแกร่งในสภาวะฉุกเฉินให้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งเป็นการอนุมัติงบประมาณพิเศษจากวิกฤตโควิด-19
โดยมุ่งเน้นการสร้างซัพพลายเชนที่มั่นคง
และส่งเสริมการผลิตในประเทศให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตชิ้นส่วน และวัสดุคุณภาพสูง
ตามด้วยนโยบาย China Plus One ที่สนับสนุนให้ธุรกิจอุตสาหกรรมญี่ปุ่นลงทุนในอาเซียน
(ASEAN) และล่าสุดนั้น ทาง METI อยู่ระหว่างการพิจารณาสนับสนุนงบ
R&D สำหรับเทคโนโลยีที่สามารถลดปริมาณหรือทดแทนการใช้
Rare Earth ในผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะให้การสนับสนุนเงินทุนในการย้ายฐานการผลิต
ซึ่งแม้จะช่วยให้ซัพพลายเชนในประเทศญี่ปุ่นมั่นคงขึ้นได้
แต่ในความเป็นจริงแล้วปฏิเสธไม่ได้ว่า
มาตรการนี้จะนำมาซึ่งการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาในอนาคต
l นานาทัศนะต่อนโยบาย “ย้ายฐานผลิต
กลับประเทศญี่ปุ่น”
ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์รายหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นจากจังหวัด
Nagoya รายงานว่า
กำลังพิจารณาย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีน เล็งเห็นว่าการผลิตในประเทศจะช่วยให้ Lead
Time ของสินค้าสั้นลง
และลดค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ได้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม
ที่แล้วมาบริษัทเคยมีการย้ายฐานการผลิตหลายครั้งเนื่องจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้น
หากย้ายกลับสู่ประเทศญี่ปุ่นที่มีค่าแรงสูงแล้ว จึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า
จะต้องขายเครื่องมือแพทย์ในราคาสูงขึ้น
แม้ในระยะสั้นจะสามารถผลิตตามความต้องการได้
แต่จำเป็นต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มในระยะยาวเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
Chikusui Canycom ผู้ผลิตรถยก และเครื่องจักรอื่น ๆ
เป็นอีกรายที่อยู่ระหว่างพิจารณากลับประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง Mr. Tsutomu Maeda กรรมการบริหารแสดงความเห็นว่า
สาเหตุที่บริษัทญี่ปุ่นเข้าตั้งฐานการผลิตในจีนมาจากเรื่องค่าแรง และวัตถุดิบ
ซึ่งปัจจุบันต้องเลือกแล้วว่า จะให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน
และถ้าขึ้นราคาสินค้าแล้ว ลูกค้าจะยอมรับในราคาใหม่ได้หรือไม่
ในอีกด้านหนึ่ง
หลายบริษัทก็ไม่เห็นด้วยกับการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ ยกตัวอย่างเช่นผู้ผลิต Precision
Part รายหนึ่งจากจังหวัด Fukuoka ซึ่งแสดงความเห็นว่า
ที่แล้วมา บริษัทมีประสบการณ์ถูกปฏิเสธไม่ให้เป็นซัพพลายเออร์หลายครั้งเนื่องจาก
“ราคาสินค้าสูงกว่าผู้ผลิตรายอื่น” และมั่นใจว่า หากผู้ผลิตญี่ปุ่นกลับประเทศแล้ว
ธุรกิจรายใหญ่หลายรายทั่วโลก
อาจเลือกบริษัทที่ตั้งโรงงานผลิตในประเทศที่ค่าแรงถูกกว่าเป็นซัพพลายเออร์แทน
และเล็งเห็นว่าการผลิตในจีนยังคงคุ้มค่า
Hirata Corporation ผู้ผลิตหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
และโซลูชันการผลิตยานยนต์และเซมิคอนดัคเตอร์ รายงานว่า
ปัจจุบันยังไม่มีแผนย้ายกลับญี่ปุ่น เนื่องจากมีซัพพลายเออร์ในเกาหลีใต้
และไต้หวันอยู่แล้ว ทำให้สามารถคงซัพพลายเชนของบริษัทไว้ได้ในระดับหนึ่ง
และการพัฒนาซัพพลายเชนให้ครบวงจรนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคอุตสาหกรรมในระดับประเทศ
อีกทั้งต้องใช้เวลานานจึงจะเห็นผล และหากไม่ประสบความสำเร็จ
สิ่งนี้เองที่จะกลายเป็นกำแพงขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นในอนาคต
“ย้ายฐานผลิต กลับประเทศญี่ปุ่น”
ไม่ใช่เรื่องใหม่
ในขณะที่หลายบริษัทยังไม่แน่ชัดนักว่าจะย้ายกลับญี่ปุ่นหรือไม่นั้น METI ได้เปิดเผยว่า แนวคิดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ
เมื่อปี 2011 ซึ่งในช่วงเวลานั้น
มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนการลงทุนธุรกิจทดแทนในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ
แต่นโยบายได้ครอบคลุมไปถึงการพัฒนาวัสดุ และเทคโนโลยีอื่นอีกด้วย
Nogami-gk ผู้ผลิตแม่พิมพ์สำหรับงาน Precision รายงานว่า
เมื่อครั้งแผ่นดินไหว เครื่องจักร
และออเดอร์ที่ถูกยกเลิกทำให้บริษัทเสียหายรวมกว่าร้อยล้านเยน
และได้รับเงินสนับสนุนเพื่อติดตั้งเครื่องจักรใหม่
โดยได้เปิดสายการผลิตแม่พิมพ์สำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพิ่ม ซึ่งทางบริษัทเปิดเผยว่า
เคยพิจารณาขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศ แต่พบว่า เมื่อหักลดค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
และสามารถผลิตชิ้นงานที่มีคุณภาพได้เองในประเทศ
ทำให้ได้รับโอกาสจากธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น
Yoshiwara Tetsudou Kougyou ผู้ผลิตรางรถไฟ และมีส่วนแบ่งในตลาดญี่ปุ่นกว่า
60% เปิดเผยว่า สาเหตุที่ได้รับออเดอร์จำนวนมาก
มาจากขีดความสามารถในการซัพพลายผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าโดยไม่ต้องรอการนำวัสดุเข้าจากต่างประเทศ
METI รายงานว่า แม้จะมีผู้ให้ความสนใจ
หรือมีผู้ยื่นเรื่องขอรับการสนับสนุนเงินทุนแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว
ธุรกิจญี่ปุ่นที่ย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้การพัฒนาซัพพลายเชนครบวงจรให้ได้ตามที่รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการเป็นเรื่องยาก
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในช่วงไม่กี่ปีให้หลัง ทั้งสงครามการค้า,
Brexit, และการระบาดของโควิด-19
การสร้างซัพพลายเชนที่มีความเข้มแข็ง
จะเป็นเรื่องที่ทุกประเทศจำเป็นต้องให้ความสำคัญขึ้นอย่างแน่นอน