ดันประเทศไทยพ้นกับดักการพัฒนาได้จริง
ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตผู้แทนการค้าไทย เขียนบทความเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องคิดใหม่ และทบทวนมาตรการที่ออกมาว่า หากพิจารณาตามศักยภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ถือว่าอัตราการเติบโตยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะขยายตัวดีขึ้นเป็น 2.8% (จาก 2.5% ในปี 2562) ก็ตาม
“มาลงรายละเอียดกันว่าอะไรบ้างเป็นอุปสรรคที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถขยายตัวได้เหมือนในอดีต ทั้งๆที่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ และหลายรัฐบาลที่ผ่านมาพยายามวางนโยบายเศรษฐกิจให้ขยายตัวไปถึงจุดที่จะทำให้ไทยหลุดพ้นจากกับดักของประเทศรายได้ปานกลางไปสู่รายได้สูง แต่ดูเหมือนความพยายามนี้จะยังไม่เห็นผลสำเร็จในอนาคตอันใกล้”
มิหนำซ้ำเมื่อย้อนเวลากลับไปดูอัตราเติบโตในช่วงปี 2551-2560 ยิ่งน่าตกใจที่พบว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยเพียง 3.4% ถือเป็นอัตราเฉลี่ยต่ำสุด เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศในอาเซียน (เว้นบรูไน)
ตรงนี้จึงถือว่าเป็น “สัญญาณเตือนสำคัญ” ที่รัฐบาลไม่อาจละเลยและต้องเร่งแก้ไขจากประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยช่วง 30 ปี (2528-2533) ปรากฏว่า เศรษฐกิจไทยเคยเติบโตสูงสุดเฉลี่ยถึง 9.89% เกิดจากความสามารถของรัฐบาลในเวลานั้น กำหนดนโยบายเศรษฐกิจที่สอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยมีการเปิดประเทศมากขึ้นทำ ให้เกิดโครงการขนาดใหญ่อย่าง โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งตะวันออก (Eastern Seaboard) เกิดท่าเรือน้ำลึก มีการนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้จากอ่าวไทย ขณะเดียวกันประเทศคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกันอย่างเวียดนาม กัมพูชา พม่า และลาวเวลานั้นยังมีปัญหาภายใน อีกทั้งระบบการเมืองที่ยังไม่พร้อม การลงทุนจากต่างชาติจึงเบนเข็มมาที่ไทยเต็มๆ
เศรษฐกิจไทยควรขยายตัวมากกว่าเป้า
ความเป็นมาและจะเป็นไปของเศรษฐกิจไทยวันนี้ แม้จะมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2562 รวมทั้งก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ถูกแก้ไขจนมองไม่เห็นแนวโน้มจะได้เห็นเศรษฐกิจโตแบบก้าวกระโดดเหมือนช่วงปี 2528-2533 ซึ่งวันเวลาและสถานการณ์ต่างๆได้เปลี่ยนไปมาก อีกทั้งขนาดเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันก็ใหญ่กว่าช่วงเวลานั้นมาก แต่ทุกภาคส่วนในสังคมก็มีความคาดหวังกันว่าเศรษฐกิจปี 2563 ควรขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์กันไว้
สำหรับประเทศไทยในปี 2563 รัฐบาลและเอกชนต้องมองสถานการณ์ข้างหน้าให้ออกและคาดการณ์ได้ระดับหนึ่งว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจโลก และกับปัญหาภายในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ พร้อมกันกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี (Technolo gical Disruption) ที่วิ่งเข้ามาปะทะอย่างรวดเร็วกับเศรษฐกิจไทยในทุกด้าน ซึ่งจะส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจทั้งภาคการเงิน การคลัง ภาคการค้า การลงทุน และบริการ ตลอดจนภาคการเกษตรต้องเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้
5 ปีแล้ว ควรปรับเป้าหมายได้แล้ว
ดร.ปานปรีย์กล่าวด้วยว่า นี่เป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ควรทบทวนนโยบาย และคิดใหม่ (Re–think policy) อีกครั้งว่า แนวนโยบายเศรษฐกิจที่ดำเนินมากว่า 5 ปี สมควรปรับเป้าหมาย และจัดลำดับความสำคัญใหม่ให้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ดีกว่าที่ผ่านมา
“ในปี 2563 ผมมองว่ารัฐบาลต้องเป็นหลักและเป็นผู้นำทางให้ภาคเอกชนเดินตาม โดยเฉพาะ 3 เรื่องสำคัญที่หวังให้รัฐบาลเร่งดำเนินการคือ...
1.เร่งรัดนโยบายเศรษฐกิจที่ประกาศแล้ว ให้เกิดผลทางปฏิบัติโดยเร็ว...นโยบายสำคัญอย่าง Thailand 4.0 โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาค ตะวันออก (EEC) ข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ ทั้งพหุภาคีและทวิภาคี การยกระดับศักยภาพแรงงาน และการปรับปรุงประสิทธิภาพภาคการเกษตร
อย่างกรณีข้าวไทยที่มีผลผลิตต่ำ FAO ในปี 2559 พบว่าไทยมีผลผลิตข้าวต่อไร่เฉลี่ยต่ำสุดที่ 456 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนามเฉลี่ย 891 และอินโดนีเซีย 837 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ โดยเฉพาะงบประมาณแผ่นดิน 2563 ที่รอผ่านกระบวนการในรัฐสภาซึ่งมีความล่าช้าก็ควรเร่งรัด ให้เสร็จโดยเร็วด้วย 2.ปรับเป้าหมายบางส่วนในนโยบายเศรษฐกิจมหภาค มุ่งเน้นให้เกิดความสมดุลโดยนำรายได้ประชาชาติกระจายลงสู่ผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อยมากขึ้น โดยเฉพาะเพิ่มรายได้ให้มนุษย์เงินเดือน แรงงาน และเกษตรกรให้มากขึ้น
เสริมประสิทธิภาพการค้าระหว่างประเทศ
ที่ผ่านมารัฐบาลเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จนทำให้เกิดข้อกล่าวหาว่าช่วยคนรวย ผู้รับประโยชน์จากนโยบายคือกลุ่มนายทุนทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ แต่โดยหลักแล้ว โครงสร้างพื้นฐานก็จำเป็นต้องทำเพราะจะส่งผลให้เศรษฐกิจมั่นคงขึ้นในระยะยาว ประเด็นจึงอยู่ที่ว่ารัฐบาลจะทำอย่างไรให้เกิดความสมดุลทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น และกระจายรายได้ไปสู่ระดับล่างให้ดีขึ้น ถ้าฐานล่างแข็งแรงกว่าที่เป็นอยู่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้น ที่สำคัญ “หนี้ครัวเรือน” และ “ความเหลื่อมล้ำทางรายได้” จะลดลงด้วย จึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลอาจต้องปรับลำดับความสำคัญของนโยบาย โครงการและมาตรการทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง เพื่อให้ฐานล่างมีรายได้สูงขึ้นด้วย
3. เสริมประสิทธิภาพการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะตั้งแต่เกิดสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่ยังไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆทำให้เส้นทางการค้าที่เคยทำกันมาบิดเบี้ยว เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือน เดิม เกิดความไม่แน่นอนสูงแก่ระบบการค้าระหว่างประเทศ ที่มีส่วนทำให้การส่งออกของไทยหดตัวลงรุนแรง ในเรื่องการค้าระหว่างประเทศนี้ รัฐบาลควรกำหนดยุทธศาสตร์ร่วมกับเอกชนที่มีความยืดหยุ่นปรับตัวได้เร็วตามสถานการณ์ใหม่ตลอดเวลา พร้อมกับเปิดแนวรุกด้านการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ทั้งแบบพหุภาคีและทวิภาคี เพื่อสนับสนุนให้การส่งออกที่เป็นรายได้หลักของประเทศได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนไทยและต่างชาติด้วย
วันนี้การบริหารงานภาคเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความยากสลับซับซ้อนกว่าในอดีตมาก ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโลก และการปรับเข็มทิศเศรษฐกิจประเทศเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่านอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น จะเป็นปัจจัยเสริมให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวต่อไปได้ด้วยดี สร้างรายได้และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกับชาวไทยทุกคน ขณะที่เรายังไม่หลุดจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่รายได้ที่สูงขึ้น เราก็ต้องหลีกเลี่ยง และมั่นใจว่านโยบายเศรษฐกิจจะไม่ไปสร้างกับดักความไม่สมดุลในการพัฒนา สกัดกั้น และเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ และรายได้ประชาชนด้วย หากรัฐบาลเร่งดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติ 3 เรื่องสำคัญที่ว่านี้ เส้นทางแห่งความหวังของ เศรษฐกิจไทยในปี 2563 และปีต่อๆไปย่อมมีโอกาสไปสู่ความสำเร็จได้ไม่ยาก.