ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม เดือนเมษายน ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 95.0 ปรับตัวลดลงจากระดับ 96.3 ในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือน สาเหตุจากผู้ประกอบการได้เร่งการผลิตไปในช่วงเดือนก่อนหน้าเพื่อชดเชยการผลิตในเดือนเมษายนที่มีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อกำลังซื้อที่ลดลงโดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค เนื่องจากปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งการส่งออกที่หดตัวอันเนื่องมาจากการชะลอตัวของการค้าโลก โดยเฉพาะปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ กับจีน
สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลง อยู่ที่ระดับ 101.9 โดยลดลงจาก 104.2 ในเดือนมีนาคม เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ความผัน-ผวนของค่าเงินบาทที่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการส่งออก และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ยังคงเป็นปัจจัยกดดันที่สำคัญ ที่จะกระทบต่อการส่งออกของไทย
แต่ทั้งนี้ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ แม้จะมียอดการส่งออกติดลบเช่นกัน แต่ยอดขายภายในประเทศยังคงมีรายได้ดี สืบเนื่องจากยอดการจองรถในงาน Bangkok international motors how เมื่อช่วงมีนาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามคาดการณ์ใน 3 เดือนข้างหน้าเช่นกันว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ปรับตัวลงอยู่ที่ระดับ 104.9 จาก 105.7
คุณสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากความกังวลต่อปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ทางสภาอุตสาหกรรมฯ หวังให้มีการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพให้เร็วที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยและนักลงทุนต่างชาติ
พร้อมกันนี้ได้นำเสนอข้อเสนอต่อภาครัฐใน 2 เรื่อง ประกอบด้วย
1. การสนับสนุนแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งปรับหลักเกณฑ์ในการให้กู้เงินของธนาคาร ให้เหมาะสมและมีความคล่องตัวมากขึ้นเพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs
2. การปรับลดขั้นตอนการขอใบอนุญาตของหน่วยงานภาครัฐ โดยเร่งรัดโครงการ Regulatory Guillotine
ทางด้านคุณเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธาน ส.อ.ท. ในฐานะที่ได้มอบหมายให้เป็นประธานคณะทำงานศึกษาผลกระทบสงครามการค้า ส.อ.ท. กล่าวว่า ผลจากสงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐและจีนรอบนี้รุนแรงและเอาจริงต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา จึงได้ทำการศึกษา ติดตามถึงผลกระทบ โดยต้องดูแลสมาชิกใน 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ส.อ.ท. จึงขอเสนอให้ภาครัฐจัดตั้ง War room ร่วมกับภาคเอกชน เพื่อติดตามผลกระทบสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมอย่างเร่งด่วน
ขณะนี้มีอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบแล้วเช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ประกอบกับตัวเลขการส่งออกตั้งแต่ปลายปี 61 จนถึงไตรมาสแรกของปี 62 ที่ลดลง ส่งผลกระทบในทางลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะที่น่ากังวลคือสินค้ากว่า 6,000 รายการที่ไม่สามารถส่งออกได้ อาจทะลักเข้ามาในไทย ซึ่งมี 3 ระดับคือ 1) การเข้ามาทางสินค้าออนไลน์ 2) การนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายแทนการผลิต 3) การลักลอบหิ้วเข้ามาในประเทศ ทั้งหมดนี้ต้องมีการควบคุมให้ดี เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย
พร้อมกันนี้ในการแถลงข่าวดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม นายปรีชา ส่งวัฒนา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและประธานคณะกรรมการสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI) แถลงรายละเอียดการผนึกกำลังร่วมกับ สภาวิชาชีพบัญชี จัดทำโครงการ SMEs Clinic ให้คำปรึกษาด้านบัญชี แก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งการให้คำปรึกษาจะเน้นให้ผู้ประกอบการสามารถการปรับปรุงตัวเลขทางบัญชีให้ถูกต้องรวมถึงแนะนำการยื่นภาษีแบบ E-Filing เพื่อสอดรับกับ พรบ.ยกเว้นเบี้ยปรับเงินเพิ่ม ของภาครัฐ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ฝ่ายสื่อสารองค์กร ส.อ.ท.
โทรศัพท์ 0-2345-1013