สศอ.เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เม.ย. ขยายตัว 2.03% อานิสงส์จากอุตฯยานยนต์-เครื่องปรับอากาศ-คอนกรีต-เบียร์-เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ยอมรับเศรษฐกิจโลกถดถอยหนัก-ส่งออกไร้กำลังซื้อ ปรับลดจีดีพีอุตฯเหลือ1.5-2.5% จากเดิม 2.0-2.5% ส่วนเอ็มพีไอเหลือ 1.5-2.5% จากเดิม 2.0-2.5%
นายอดิทัต วะสีนนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนเม.ย.62 อยู่ที่ 95.91 ซึ่งเป็นค่าดัชนีฯที่ต่ำสุดในรอบ 12 เดือนนับตั้งแต่พ.ค.61 แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนค่าดัชนีฯยังคงขยายตัว 2.03% ซึ่งถือเป็นการกลับมาเป็นบวกหลังจากที่ค่าดัชนีเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาติดลบ2เดือนติด ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนเม.ย.ซึ่งอยู่ที่ 63.89% ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดในรอบ 12 เดือนเนื่องจากเดือนเม.ย.62 มีวันหยุดยาวทำให้มีการเร่งผลิตในช่วงที่ผ่านมาไว้ก่อนแล้ว ประกอบกับปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากสงครามทางการค้า
ทั้งนี้ สศอ.ได้ปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ภาคอุตสาหกรรมเหลือ 1.5-2.5% จากเดิม 2.0-2.5% และปรับลดคาดการณ์ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(เอ็มพีไอ)เหลือ 1.5-2.5% จากเดิม 2.0-2.5% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากการลดการอัดฉีดเงินเข้าระบบของประเทศสำคัญๆอาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จีน และญี่ปุ่น บวกกับการต้องเผชิญกับผลกระทบสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจนกระทบต่อการส่งออกของไทยให้ชะลอตัวลง ซึ่งสินค้าหลักอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงไปด้วย
สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลบวกให้ดัชนีฯเม.ย.62 ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาจาก รถยนต์และเครื่องยนต์ขยายตัวเพิ่มขึ้น 13.60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มเครื่องยนต์ รถยนต์นั่ง และรถปิคอัพ ปัจจัยหลักมาจากตลาดในประเทศที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง สำหรับกลุ่มรถปิคอัพมีการขยายตัวในตลาดส่งออกโดยเฉพาะตลาดโอเชียเนีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกา
โดยเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนขยายตัวเพิ่มขึ้น 15.57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศ เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดและมีการผลิตเครื่องปรับชนิดประหยัดพลังงาน (Inverter)มากขึ้น ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด และตลาดส่งออกที่มีการขยายตัว 13.9% ทั้งจากตลาดยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงกลุ่มลูกค้าใหม่จากประเทศอินเดียด้วย
ส่วนผลิตภัณฑ์คอนกรีตขยายตัวเพิ่มขึ้น 10.25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเกือบทุกผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่ใช้ในงานก่อสร้างและคอนกรีตผสมเสร็จ ตามความต้องการใช้ในโครงการภาครัฐ เช่น ก่อสร้างทางด่วนบางปะอิน-โคราช โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย และโครงการ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สำหรับภาคเอกชนยังมีความต้องการใช้ในงานก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์
สำหรับเบียร์ขยายตัวเพิ่มขึ้น 23.14 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีก่อนมีบางโรงงานปิดซ่อมบำรุงชั่วคราว รวมทั้งการขึ้นราคาตามภาษีเครื่องดื่มเพื่อเข้ากองทุนผู้สูงอายุ แต่ในปีนี้กลับสู่ภาวะปกติ ประกอบกับผู้ผลิตได้พัฒนาสินค้าผ่านการปรับขนาดและบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย จูงใจผู้บริโภคเช่น การผลิตเบียร์กระป๋อง ซึ่งมีขนาดพอเหมาะในการบริโภคและเกิดความรู้สึกคุ้มค่าต่อราคา
ขณะที่เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และน้ำดื่มขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.88 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลิตภัณฑ์น้ำอัดลม น้ำดื่มให้พลังงาน และน้ำโซดา โดยมีสาเหตุจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการออกผลิตภัณฑ์ใหม่(น้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาล) ประกอบกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดกว่าปีก่อน รวมถึงผู้ผลิตบางรายได้เปิดสำนักงานขายในประเทศเวียดนามตั้งแต่ปลายปีก่อน ส่งผลให้ยอดขายในปีนี้เพิ่มขึ้น