ผู้ว่าการ ธปท.ชำแหละ 10 ปีเศรษฐกิจไทย พบยัง “เหลื่อมล้ำสูง ผลิตภาพต่ำ ลงทุนน้อย ด้อยภูมิต้านทาน” ครัวเรือนหนี้สูง ธุรกิจปลาใหญ่ยังกินปลาเล็ก ขณะที่รัฐบาลยังแก้ปัญหาระยะสั้น เน้นประชานิยม ซึ่งอาจจะส่งผลสร้างภาระการคลัง ทำให้ต้องทำงบขาดดุลต่อเนื่อง 12 ปี แนะ 3 ด้านเร่งแก้ปัญหา
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงมุมมองเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ในงาน “Thai Journalists Association 64th Anniversary” ว่า เศรษฐกิจไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก โดยรายได้ต่อหัวเพิ่มจาก 140,000 บาทต่อปี ในปี 2551 โตขึ้น 50% มาอยู่ที่ 220,000 บาทต่อปีในปี 2560 ขณะที่เสถียรภาพของประเทศมีความเข้มแข็งมาก โดยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องกันถึง 5 ปี เสถียรภาพระบบสถาบันการเงินก็อยู่ในเกณฑ์ดี แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าเศรษฐกิจไทยมีภูมิต้านทานและความสามารถในการปรับตัวดีนั้น แต่มีสัญญาณหลายอย่างที่เราต้องระมัดระวังและให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ทั้งนี้ ความท้าทายหลักๆของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย มี 3 ด้าน คือ 1.ด้านผลิตภาพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุดที่จะกำหนดศักยภาพของเศรษฐกิจ โดย 10 ปีที่ผ่านมาผลิตภาพของเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ซึ่งมีสาเหตุจาก 4 เรื่องหลักๆ ประการแรก แรงงานจำนวนมากมีผลิตภาพต่ำ ขาดการพัฒนาและไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปสู่ภาคที่มีผลิตภาพที่สูงขึ้นได้ โดยแรงงานถึง 1 ใน 3 ของประเทศอยู่ในภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นภาคที่มีผลิตภาพต่ำที่สุด
ขณะที่นโยบายภาครัฐเข้าไปช่วยเหลือ โดยเน้นการดูแลราคา การประกันรายได้ และการให้เงินอุดหนุน หรือการพักหนี้เกษตรกร ซึ่งช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในระยะสั้น แต่ไม่ช่วยพัฒนาผลิตภาพในระยะยาว ประการที่สองคือ แรงงานไทยยังมีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาด โดยจากที่ ธปท.พบปะกับภาคธุรกิจกว่า 800 รายต่อปี พบว่าผู้ประกอบการจำนวนมากประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ถือว่าปัญหาดังกล่าวเป็นอุปสรรคลำดับต้นๆของการดำเนินธุรกิจ และเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับธุรกิจต่างชาติในการตัดสินใจมาลงทุนในประเทศไทย
ประการที่สาม การลงทุนของเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับต่ำ งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าเราเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ระดับการลงทุนที่แท้จริงของทั้งภาครัฐและเอกชนรวมกันยังต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 และไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ส่วนแบ่งเงินลงทุนสุทธิจากต่างประเทศจากเงินลงทุนทั้งโลกลดลง เมื่อเทียบใน 10 ปีที่ผ่านมา ยิ่งกว่านั้น ยังพบว่าการลงทุนที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ เป็นการลงทุนเพื่อทดแทนเครื่องจักรเก่าที่เสื่อมลงไป ซึ่งไม่ได้สร้างผลิตภาพให้เพิ่มขึ้นมากนัก ประการที่สี่ ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจจากกฎระเบียบข้อบังคับของทางการที่มีจำนวนมากและล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับบริบทของระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันและโลกในอนาคต โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจเชิงแบ่งปัน (Sharing economy) และระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
ขณะที่ความท้าทายด้านที่สอง คือความเหลื่อมล้ำของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เรามีปัญหาการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบไม่ทั่วถึง ผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนที่มีรายได้สูง ส่วนหนึ่งมาจากภาครัฐขาดประสิทธิภาพและความสามารถทำหน้าที่จัดสรรผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม อีกส่วนหนึ่งเกิดจากความเหลื่อมล้ำทางโอกาสที่ฝังตัวอยู่ในทุกระดับ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ได้เปรียบธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะในช่วงที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจอย่างรุนแรง ยิ่งทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสู้ได้ยากขึ้น
ความท้าทายเชิงโครงสร้างด้านที่สาม คือ ภูมิต้านทานของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะระดับครัวเรือนที่ยังเปราะบางมาก โดยระดับหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) อยู่ที่ประมาณ 77.8% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีรายได้ใกล้เคียงกับเรา ขณะที่พบว่าคนไทยราว 3 ใน 4 ไม่สามารถออมเงินได้ในระดับที่ตั้งใจไว้สำหรับการเกษียณอายุ โดยปัญหาเหล่านี้จะก่อให้เกิดภาระการคลังในระยะต่อไป นอกจากภาระค่าใช้จ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุที่จะเพิ่มมากขึ้น และแนวโน้มการดำเนินนโยบายประชานิยมที่หวังผลทางการเมืองในช่วงสั้นๆ ประมาณการฐานะการคลังระยะปานกลางแสดงว่า รัฐบาลจะต้องทำงบขาดดุลต่อเนื่องไปอีก 12 ปี จึงจะเริ่มมีงบสมดุลได้
“ผมคิดว่าเพื่อเตรียมพร้อมเราต้องให้ความสำคัญใน 3 เรื่อง เรื่องแรก คือ เราจะต้องส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปข้างหน้าด้วยคุณภาพและผลิตภาพเป็นหลัก เราไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลก หรือไม่จำเป็นต้องมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก แต่คงดีกว่าถ้าผลิตผลทางการเกษตรได้สามารถจำหน่ายได้ในราคาสูง หรือคงดีกว่าถ้าเราดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูง เรื่องที่สอง คือ ต้องเร่งเพิ่มคุณภาพของแรงงานไทย ซึ่งมีสัดส่วน 60% ของคนไทยทั้งประเทศให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และเรื่องที่สาม คือ เราหาทางใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะภาครัฐไทยที่มีประสิทธิภาพที่ลดลงเรื่อยๆ”.