“พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย”...พระราชสมัญญา “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” ด้วยทรงสนพระราชหฤทัยในเรื่องการประดิษฐ์ เครื่องจักรกลเพื่อใช้ในการพัฒนาการเกษตรรูปแบบต่างๆ โดยอยู่บนพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีแบบง่ายๆด้วยภูมิปัญญาเราเอง ใช้วัสดุภายในประเทศ
เน้นความง่ายต่อการใช้งาน การซ่อมบำรุง และราคาถูก เช่นเครื่องสีข้าว, กังหันน้ำชัยพัฒนา...สิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่ 9 ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตร และเป็นครั้งแรกที่ได้มีการรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรให้แก่พระบรมราชวงศ์...“สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์”
“วันนักประดิษฐ์” ทุกปีจึงเป็นวันที่สะท้อนมุมคิดนักประดิษฐ์ไทย ที่จะก้าวเดินเจริญรอยตามเบื้องยุคลบาท...ปลูกฝัง เสริมสร้าง ส่งเสริมเยาวชนไทยให้มีทุนทางสังคมในความเป็นนักประดิษฐ์ นักคิดค้น นักพัฒนา
สร้าง “นวัตกรรม” ใหม่ๆ นำไปพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ความเจริญ ความมั่นคงของประเทศชาติ
ยุคการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย “นวัตกรรม” เป็นอีกปัจจัยหลักในการกระตุ้นการเติบโตของงานวิศวกรรม ซึ่งวิศวกรในประเทศไทยจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาศักยภาพให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น และเทคโนโลยีที่ผันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “ไทยแลนด์ 4.0” ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเป็นประเด็นที่กำลังถูกกล่าวถึงอย่างมาก แน่นอนว่า...หนึ่งในวิชาชีพที่ขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อยกระดับสังคมที่มีคุณภาพ ก็คือกลุ่ม “วิศวกร” ซึ่งจำเป็นต้องมีการอัปเดตเทรนด์ความรู้อยู่เสมอ
พิชญะ จันทรานุวัฒน์ เลขาธิการ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) บอกว่า วิศวกรในยุค 4.0 จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้เท่าทันกับโลกสมัยใหม่อยู่เสมอ โดยเฉพาะวิศวกรในสาขาส่งเสริม ที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ทั้งด้าน...สารสนเทศ คอมพิวเตอร์ พลังงานไบโอเมดิคอล การบิน ฯลฯ
“ทุกวันนี้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในปัจจุบัน อยู่ที่กลุ่มช่างเทคนิคซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนงานของวิศวกร ขณะที่โครงการใหม่ๆ ที่ยังต้องอาศัยวิศวกรต่างชาติเข้ามาทำงานเมืองไทย วสท.จึงขอเสนอแนะต่อรัฐบาล ในการกำหนดให้มีวิศวกรไทยทำงานร่วมกับวิศวกรต่างชาติ”
โดยกำหนดให้ “วิศวกรไทย” เป็นผู้นำ (Lead Firm) เนื่องจากที่ผ่านมา การทำงานร่วมกันระหว่างวิศวกรต่างชาติและชาวไทยก่อให้เกิดประสบการณ์การทำงานจริง ซึ่งบางงานวิศวกรไทยมีพื้นฐานความรู้เดียวกันอยู่แล้ว แต่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า ท่าเรือน้ำลึก การขุดเจาะอุโมงค์ ซึ่งในอดีตยังต้องอาศัยวิศวกรชาวต่างชาติเป็นหลัก...ขณะที่ปัจจุบันเมื่อได้ทำงานร่วมกันวิศวกรไทยสามารถดำเนินการได้
ทุกๆปีจะมีการจัดงาน “วิศวกรรมแห่งชาติ” เพื่ออัปเดตเทรนด์เทคโนโลยี นวัตกรรมให้กับวิศวกรของไทย รวมทั้งเปิดโอกาสให้ความรู้กับผู้ที่สนใจเข้ามารับทราบถึงเทคโนโลยีที่มีผลต่อชีวิตในวันนี้และวันข้างหน้า
ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ย้ำว่า วสท.มีภารกิจในการส่งเสริมและสนับสนุนความก้าวหน้าของวิชาชีพวิศวกรรม ด้วยการพัฒนาองค์ความรู้ สนับสนุนการวิจัย การปรับปรุงมาตรฐานและสร้างสรรค์กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่ออาชีพวิศวกรรมและสังคม
“วิศวกรรมแห่งชาติ 2561” (National Engineering 2018) เป็นงานสัมมนาวิชาการ และแสดงผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี นวัตกรรรมวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ในไทย ภายใต้แนวคิด “Engineering for Society” มุ่งเน้นการพัฒนาวิชาชีพวิศวกรรม พร้อมงานสัมมนาอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีที่วิศวกรจำเป็นต้องรู้กว่า 70 หัวข้อ
ดร.ธเนศ บอกอีกว่า การจัดงาน “วิศวกรรมแห่งชาติ 2561” ปีนี้ยังมีความยิ่งใหญ่และพิเศษกว่าทุกปี ด้วยความร่วมมือจาก 4 กระทรวง...เข้ามาร่วมให้ความรู้ เพื่อยกระดับพัฒนาวิชาชีพวิศวกรรมที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศ ในงานมีปาฐกถาพิเศษยุทธศาสตร์แห่งชาติตามนโยบายทั้ง 4 กระทรวง ได้แก่
แผนยุทธศาสตร์ด้านดิจิทัล โดย ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, ยุทธศาสตร์คมนาคม โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม โดย ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและยุทธศาสตร์พลังงาน โดย ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ไฮไลต์ในงานที่ต้องกล่าวถึง คือการอัปเดตเทรนด์ความรู้ใหม่ๆหลากหลายหัวข้อ เช่น นวัตกรรมความปลอดภัยของโครงการ ได้รับเกียรติจากวิศวกรชาวญี่ปุ่น มาบรรยายถึงการออกแบบโครงสร้างอาคารในสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ เช่น ภัยก่อการร้าย การวางระเบิด การวางเพลิง ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับเมืองไทย
รวมทั้งการให้ความรู้ด้านการป้องกันอัคคีภัยสำหรับอาคารขนาดใหญ่ เช่น สนามบิน ตึกสูง จากสมาคมป้องกันอัคคีภัยแห่งชาติ (National Fire Protection Association) ของสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ดร.ทศพร ศรีเอี่ยม ประธานการจัดงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2561 เสริมว่า ในปีนี้ยังมีการนำเสนอความรู้...การสัมมนาที่น่าสนใจ สำหรับวิศวกรและประชาชนทั่วไป นั่นก็คือ “Smart City” หรือ “เมืองอัจฉริยะ”
ที่หมายถึง การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มความสะดวก สบาย ประหยัด ปลอดภัย ให้กับการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนซึ่งประเทศไทยจะมีเมืองใหม่ที่เป็น Smart City ในแถบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ทั้งระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี จากการเชื่อมต่อของโลก
ดิจิทัลอันทันสมัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ขณะที่เมืองอื่นๆในประเทศไทย สามารถพัฒนาเป็น Smart City จะมีความเหมาะสมต่อการเป็น Smart City ในด้านใด เช่น เมืองอัจฉริยะด้านพลังงาน ด้านการจัดการขยะ ด้านคมนาคม ด้านเศรษฐกิจ
“ประเทศสิงคโปร์ เป็นตัวอย่างของเมืองอัจฉริยะในอาเซียน ที่มีความโดดเด่นในด้านโครงข่ายที่เชื่อมโยงด้วยดิจิทัลเป็นหลัก สำหรับเมืองไทยสามารถก้าวสู่เมืองสมาร์ทซิตี้ที่เหมาะกับลักษณะของแต่ละเมือง”
ยกตัวอย่างเช่น ภูเก็ต...ควรพัฒนาสู่ความเป็นสมาร์ทซิตี้ ด้านความสะดวก ปลอดภัย เพื่อรองรับและพัฒนาการเติบโตของเมืองท่องเที่ยว ขณะที่ขอนแก่น สามารถพัฒนาสู่สมาร์ทซิตี้ในด้านคมนาคม
น่าสนใจว่า “Smart City” ที่เหมาะสมกับประเทศไทยและควรเดินหน้าอย่างเร่งด่วน คือ การจัดการขยะให้เป็นศูนย์ เนื่องจากปัญหาขยะ เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย
ดร.ทศพร บอกว่า สำหรับสมาร์ทซิตี้ในการใช้ชีวิตของประชาชน จากการเชื่อมต่อของโลกดิจิทัลผ่านสมาร์ทโฟนที่สื่อสารกับอุปกรณ์อื่นๆใกล้ตัวก็เช่น การสั่งเปิดปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า การสำรวจเส้นทาง...การจราจรระบบการซื้อขายผ่านออนไลน์ ฯลฯ ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนามากขึ้น นับรวมไปถึง...นวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต รถพลังงานไฟฟ้า (EV Car) ซึ่งจะมีการเสวนาพูดคุยกันแบบลงลึกในรายละเอียดมากขึ้นในงานนี้
งานใหญ่ที่กำลังจะมาถึง...ขอเชิญชวนผู้ประกอบการหน่วยงานทางด้านวิศวกรรม มหาวิทยาลัย ผู้สนใจ ร่วมจัดแสดงเทคโนโลยีทางด้านวิศวกรรมและร่วมฟังเสวนาภายในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2561 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ถึง 3 พฤศจิกายน 2561 ณ อิมแพค ฟอรั่ม ฮอลล์ 9 เมืองทองธานี คาดว่า...จะมีผู้เข้าร่วมงานทั้งวิศวกร ผู้สนใจเทคโนโลยีเข้าร่วมฟังเสวนากว่า 25,000 คน...และจากวิศวกรอาเซียน...ต่างชาติอีก 1,500 คน
ทุกวันนี้...ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น และเทคโนโลยีที่ผันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “นวัตกรรม” ใหม่ๆ จำเป็นอย่างยิ่งต่อการนำไปพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ความเจริญ ความมั่นคงของประเทศชาติ
“ไทยแลนด์ 4.0” มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย “นวัตกรรม” เป็นอีกปัจจัยหลักในการกระตุ้นการเติบโตของงานวิศวกรรม ซึ่งวิศวกรในประเทศไทยจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาศักยภาพให้เท่าทันโลก
ในสมรภูมิที่เปิดกว้างเช่นนี้ “วิศวกรไทย” ต้องเติม “ปัญญา” สู้ให้สุดกำลัง.