รองนายกฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์มั่นใจประเทศไทยคือจุดศูนย์กลางใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย เป็นทั้งตลาด แรงงาน แหล่งวัตถุดิบ ตลอดจน supply chain ทุกๆอย่างของเอเชีย ลั่น 7 เดือนที่เหลือนี้จะปรับโครงสร้างภาคการเกษตร และสหกรณ์ แนวทางทำตลาด โดยทุ่มเททำให้องคาพยพนี้เดินไปให้ได้ และทำให้สำเร็จ
เมื่อวันที่ 9 ส.ค.2561 ที่ผ่านมา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในงานประชุมเชิงปฏิบัติการของกรมส่งเสริมสหกรณ์เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตรโดยกลไกสหกรณ์ โดยมีผู้แทนสหกรณ์ซึ่งเข้มแข็ง 777 แห่ง รับฟังนโยบายว่า การเดินหน้าปฏิรูปภาคการเกษตรให้สำเร็จ อยากให้ทุกคนเริ่มต้นช่วยกันทำให้สหกรณ์เป็นฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ และทำให้ภาคเกษตรไทยดีขึ้น และเป็นความหวัง เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ปัจจุบันยังอ่อนแออยู่ หากทำคนเดียวขายคนเดียว ย่อมไม่มีทางที่จะแข็งแรงได้ ดังนั้นรัฐบาลยินดีช่วยเต็มที่ และวันนี้ประเทศเรากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ความมั่นใจทางเศรษฐกิจในวันนี้กำลังกลับคืนมา เพราะโลกได้ต้อนรับไทยเรา
ประเทศไทยคือจุดศูนย์กลางของอนาคตข้างหน้า และเป็นจุดศูนย์กลางใหญ่ของภูมิภาคนี้ ความเจริญกำลังมาสู่เอเชีย การเชื่อมโยงตะวันตกตะวันออก โดยผ่านอาเซียนในกลุ่ม 5 ประเทศ ของอาเซียน ไทย ลาว เวียดนาม พม่า กัมพูชา ทั้งเรื่องจุดที่ตั้งของประเทศ ศักยภาพการผลิต คุณภาพของบุคคลากร เมื่อความเจริญมาสู่เอเชีย หัวใจไม่ใช่จีน อินเดีย แต่อยู่ใน5ประเทศนี้ ไทยเราเป็นทั้งตลาด แรงงาน แหล่งวัตถุดิบ ตลอดจนห่วงโซ่ supply chain ทุก ๆอย่างของเอเชีย เมื่อโอกาสกำลังจะมา เราต้องเตรียมพร้อมและทำให้ดี โดยจะต้องอย่าให้อะไรมาบั่นทอนความเชื่อมั่นของเรา ใน10 ปีจากนี้เป็นต้นไปเราต้องเดินหน้าต่อไป เศรษฐกิจของเรากำลังจะดีขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อวันก่อนตนเองก็ได้มีโอกาสพบกับทูตอิสราเอล ซึ่งประเทศเขาเป็นประเทศที่เจริญมาก พลเมืองมีแค่ 6-7 ล้านคน แต่การเกษตรกลับเจริญมาก โดยเป็นเกษตรเชิงนวัตกรรมและใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาภาคการเกษตร ซึ่งประเทศไทยน่าจะเดินหรือทำตามแบบนั้นได้ ถ้าไทยเราคิดพัฒนาทุกวัน และทำงานทุกวัน แก้ไขทุกวัน เราไม่แพ้ใครในนานาประเทศ เรายังไปได้อีก แต่เราต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของเรา ต้องไม่จำกัดแค่ตัวเราเอง ซึ่งปัจจุบันไทยเรามีประชากร 20 ล้านคนอยู่ในภาคการเกษตร แต่จีดีพีภาคการเกษตรกลับยังต่ำกว่า 20% อำนาจซื้อก็ไม่มี เราต้องเน้นการผลิตเพื่อส่งออก เมื่อผลิตเพื่อส่งออก คนที่มีรายได้จริงๆก็คือผู้ส่งออกรายได้ ก็กระจุกตัวไม่สามารถกระจายได้ ดังนั้นไทยเราจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจได้
ดร.สมคิด กล่าวอีกว่า ประเทศไทยทุกพื้นที่ เราจะรู้ว่าแต่ละพื้นที่ควรปลูกอะไร ดังนั้นเราต้องเริ่มต้นลดการปลูกบางอย่าง เพิ่มบางอย่าง ไม่ใช่แค่ข้าวอย่างเดียว สิ่งเหล่านี้ต้องมีการเริ่มต้น ใช้หลักการตลาดนำการผลิต ธกส.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องช่วยกันชี้เป้าว่าแต่ละพื้นที่ปลูกอะไรได้บ้างและปลูกในปริมาณเท่าไหร่และให้สหกรณ์เข้ามาบริหารจัดการผลผลิตและหาตลาดจัดจำหน่าย วันที่ 1 กันยายนนี้เริ่มได้เลย คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่กล้าเปลี่ยนแปลง แต่เราต้องมีกลุ่มคนที่กล้าจะเปลี่ยนแปลงและเริ่มสิ่งใหม่ ซึ่งก็คือสหกรณ์ที่มาวันนี้
“การที่รัฐบาลไปดึงอาลีบามาช่วยทำตลาด ไม่ใช่แค่ให้มาตั้งแค่ EEC แต่ให้เขามาช่วยพัฒนาสหกรณ์ในขุมชนหรือหมู่บ้านต่างๆพัฒนาสินค้าและค้าขายผ่านเวปไซด์ไปสู่ตลาดโลก ผ่านช่องทางโลจิสติกของอาลีบาบา สิ่งเหล่านี้ชาวนาไม่รู้ แต่สหกรณ์ต้องไปสื่อสารกับเกษตรกรว่าโลกยุคใหม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ต้องปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ ขายสินค้าไม่ใช่แค่ข้าวอย่างเดียว แต่ต้องมีสินค้าหลากหลาย และพัฒนารูปลักษณ์ แปรรูปให้ตรงกับที่ผู้บริโภคต้องการ และใส่สตอรี่ลงไปในแพคเกตให้รู้ว่าข้าวถุงนี้ผลิตจากที่ไหน ความเป็นมาของข้าวชนิดนี้เป็นอย่างไร แพคกิ้งทำให้สวยงาม จะช่วยดึงราคาสินค้าให้สูงขึ้นได้ สหกรณ์ต้องไปปรับปรุงใหม่ ผมเหลือเวลาอีก 7 เดือน ใน 7 เดือนนี้ผมจะทุ่มเทให้องคาพยพนี้เดินไปให้ได้ และจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเข้ามาช่วยกันทำให้สำเร็จ”ดร.สมคิด กล่าว