สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) เดือนพฤษภาคม 2561 และผลสำรวจสรุปความเห็นจากนักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุน เมื่อวันที่21 พฤษภาคม 2561
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ในภาวะทรงตัว (Neutral) เป็นเดือนแรกในรอบ 9 เดือน ปรับตัวลดลงร้อยละ 22.90 มาอยู่ที่ 92.65 จากระดับ 120.17 ในเดือนก่อน
ทั้งนี้ ผลสำรวจระบุว่านักลงทุนกังวลปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายทางการเงินสหรัฐและปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นมากที่สุด ขณะที่นักลงทุนเชื่อมั่นว่าการลงทุนจะได้รับผลดีจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธุรกิจการเกษตร
ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามความชัดเจน คือ สหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้หรือไม่ หลังจากการประชุมเดือนพฤษภาคมไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ปัญหาการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศในซีเรียและการประกาศเตรียมถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านของสหรัฐเป็นปัจจัยความเสี่ยงต่อการลงทุนมากที่สุดที่นักลงทุนติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในภูมิภาค การปรับตัวผันผวนของราคาน้ำมันที่มีการเคลื่อนไหวทะลุ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศช่วงนี้ และสถานการณ์ทางการเมือง สำหรับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการได้มาของ สส.และ สว. ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญและจะส่งผลต่อกำหนดการเลือกตั้ง
ด้านนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ และกรรมการผู้อำนวยการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวถึงผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ในระยะส้ันและต่อเป้าหมายของดัชนี SET Indexในปี 2561 โดยมองว่า ดัชนีราคาหุ้นไทยในระยะสั้น ณ สิ้นเดือนพฤษภาคมจะกลับขึ้นไปเฉลี่ยอยู่ที่ 1,785 จุด โดยมีปัจจัยบวกจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนค่าเงินบาท และกระแสเงินทุน Fund Flows เข้าสู่ตลาดทุนไทย
ส่วนภาพระยะยาวขึ้นไปถึงสิ้นปี 2561 คาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ระหว่างปีมีค่าเฉลี่ย ที่ 1,703 จุด สำหรับจุดสูงสุดคาดว่าจะอยู่ที่ 1,900 จุดขึ้นไป โดยมีปัจจัยที่ถูก
คาดว่าจะส่งผลในด้านบวก ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ปัจจัยทางด้านการเมือง และปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้ง อเมริกา ยุโรป เอเชีย